ด่านชายแดนในเขตฯ สิบสองปันนาเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เตรียมพร้อมนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้น
2 Feb 2024เขตฯ สิบสองปันนาในมณฑลยูนนานของจีนมีชายแดนติดกับเมียนมาและลาว และเป็นพื้นที่ของจีนที่ตั้งอยู่ใกล้ไทยที่สุดผ่านถนนสาย R3A ช่วงภายในลาว นับจากชายแดนจีน (โม่ฮาน)-ลาว (บ่อเต็น) ถึงชายแดนลาว (บ่อแก้ว)-ไทย (เชียงของ) เพียง 247 กิโลเมตร จึงเป็นที่ตั้งของด่านสำคัญที่ไทยส่งออกสินค้าไปจีนทั้งทางน้ำผ่านด่านท่าเรือกวนเหล่ย ทางบกผ่านด่านโม่ฮาน และทางรางผ่านด่านรถไฟโม่ฮาน
ในส่วนของด่านท่าเรือกวนเหล่ย เป็นด่านระดับประเทศประเภทที่ 1 (National First-class Port) ของจีน อนุญาตให้มีการผ่านเข้า-ออกของชาวจีนและชาวต่างชาติ สินค้า และยานพาหนะ (เรือ) โดยในปี 2562 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนเกิดสถานการณ์โรคโควิด-19 ด่านท่าเรือกวนเหล่ยมีปริมาณการขนส่งสินค้าเข้า-ออกรวม 544,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 259 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าไทยที่ขนส่งจากท่าเรือเชียงแสนเข้าจีนผ่านท่าเรือกวนเหล่ย ได้แก่ ยางพารา อาหารแปรรูป ชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง และสินค้าเบ็ดเตล็ด ทั้งนี้ ประกาศศูนย์บัญชาการควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19 มณฑลยูนนาน ฉบับที่ 15 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2563 กำหนดให้ระงับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าผ่านด่านท่าเรือกวนเหล่ยเป็นการชั่วคราว ต่อมา เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ด่านท่าเรือกวนเหล่ยได้รับอนุญาตฟื้นฟูการขนส่งสินค้าอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 เรือ “จื่อจิง 8” ซึ่งบรรทุกมันฝรั่ง จำนวน 226 ตัน ออกจากท่าเรือกวนเหล่ยไปยังท่าเรือเชียงแสนของไทย และเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2566 ด่านท่าเรือกวนเหล่ยได้กลับมานำเข้าชิ้นส่วนไก่แช่แข็งจากไทยอีกครั้ง โดยเรือสินค้า “ผิงเจียง 001” ได้บรรทุกชิ้นส่วนไก่แช่แข็งจากไทย 25 ตันจากท่าเรือเชียงแสน
คณะกรรมการบริหารเขตการค้าชายแดนกวนเหล่ยจะผลักดันให้ด่านท่าเรือกวนเหล่ยเป็น “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” โดยจะเพิ่มพื้นที่ตรวจกักกันสำหรับสินค้าผลไม้นำเข้าบนพื้นฐานของพื้นที่ตรวจกักกันสำหรับสินค้าเนื้อสัตว์นำเข้าที่มีอยู่แล้ว โดยเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567 ได้เริ่มขั้นตอนยื่นเสนอขออนุมัติผ่านหน่วยงานเบื้องบนตามขั้นตอนไปยังสำนักงานศุลกากรนครคุนหมิง เพื่อให้สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) อนุมัติ ซึ่งคาดว่าอาจจะภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยตั้งเป้าหมายว่าจะดำเนินการปรับปรุงและก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2567 พร้อมรับการตรวจรับจากสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีนเพื่อประกาศให้ด่านท่าเรือกวนเหล่ยเป็น “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” และสามารถนำเข้าสินค้าผลไม้จากต่างประเทศได้ต่อไป
นอกจากนี้ โครงการก่อสร้างทางด่วน “กวนเหล่ย-เหมิงเยวี่ยน” ระยะทาง 25 กิโลเมตร เชื่อมท่าเรือกวนเหล่ยกับถนนสาย R3A ช่วงภายใน เขตฯ สิบสองปันนา ซึ่งเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2566 ก็คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้ได้ภายในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งจะใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่คาดว่าด่านท่าเรือกวนเหล่ยจะสามารถเริ่มนำเข้าสินค้าผลไม้ได้ อันจะเป็นการช่วยเพิ่มความเร็วและความสะดวกในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะการรักษาความสดใหม่ให้กับสินค้าผลไม้ซึ่งเป็นสินค้าที่เน่าเสียง่าย
ในส่วนของด่านโม่ฮาน ตั้งอยู่บนถนนสาย R3A เชื่อมกับด่านบ่อเต็นในแขวงหลวงน้ำทาของ สปป. ลาว เป็นด่านทางบกระดับประเทศประเภทที่ 1 (National First-class Port) ของจีน อนุญาตให้มีการผ่านเข้า-ออกของชาวจีนและชาวต่างชาติ สินค้า และยานพาหนะ ด่านโม่ฮานเป็น “ด่านจำเพาะสำหรับนำเข้าผลไม้” “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์พืช” “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าธัญพืช” และ “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าสินค้าประมงแช่เย็น” โดยด่านโม่ฮานถือเป็นด่านหลักของมณฑลยูนนานในการนำเข้าผลไม้ไทยตาม “พิธีสารว่าด้วยข้อกําหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสําหรับการส่งออกและนําเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน” แม้กระทั่งในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ปริมาณการนำเข้าผลไม้ไทยของมณฑลยูนนานในปี 2564-2565 กลับเพิ่มขึ้นจนครองอันดับ 1 ในบรรดามณฑลชายแดนของจีนที่นำเข้าผลไม้ไทยมากที่สุด ตามตารางต่อไปนี้
แม้ว่าเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ลงนามพิธีสารฯ ฉบับใหม่ เพิ่มรายชื่อด่านชายแดนทางบกของไทยและจีนที่สามารถนำเข้าและส่งออกผลไม้ผ่านประเทศที่สาม โดยในส่วนของมณฑลยูนนาน ได้เพิ่มด่านรถไฟโม่ฮาน ด่านเหอโข่ว ด่านรถไฟเหอโข่ว และด่านเทียนเป่า อย่างไรก็ตาม ด่านดังกล่าวยังคงไม่มีการนำเข้าผลไม้ไทยในช่วงปี 2564-2565 ยกเว้นด่านรถไฟโม่ฮานที่เริ่มนำเข้าผลไม้ไทยในเดือนธันวาคม 2566 ดังนั้น ตัวเลขการนำเข้าผลไม้ไทยของมณฑลยูนนานในปี 2564-2565 เกือบทั้งหมดจึงเป็นการนำเข้าผ่านด่านโม่ฮานเป็นหลัก
ปัจจุบันได้มีการดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับปริมาณการนำเข้า-ส่งออกสินค้าที่เพิ่มขึ้นและอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงจีน-ลาว-ไทย ได้แก่ (1) ช่องทางผ่านแดนสำหรับรถบรรทุกสินค้าแห่งใหม่ระหว่างด่านโม่ฮานกับด่านบ่อเต็น บริเวณหลักหมุดเขตแดนจีน-สปป. ลาว หมายเลข 29/3 เพื่อแก้ไขปัญหาความแออัดของช่องทางเดิม โดยได้เปิดใช้งานช่องทางผ่านแดนแห่งนี้แล้วเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 โดยปรับระบบจราจรให้รถบรรทุกสินค้าขาออกจากจีนใช้ช่องทาง ผ่านแดนแห่งใหม่ ส่วนช่องทางผ่านแดนแห่งเดิมบริเวณหลักหมุดฯ หมายเลข 29 ใช้สำหรับรถบรรทุกสินค้าขาเข้าจีนเท่านั้น (2) ขยายช่องทางผ่านแดนแห่งเดิมหลักหมุดฯ หมายเลข 29 ให้มีช่องจราจรขาเข้า-ขาออกรวม 10 ช่อง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 จากนั้นจะปรับให้รถบรรทุกสินค้าทั้งหมดกลับไปผ่านเข้า-ออกที่ช่องทางผ่านแดนหลักหมุดฯ หมายเลข 29 ขณะเดียวกัน ก็ปรับพื้นที่ในเขตรั้วล้อมรอบช่องทางผ่านแดนหลักหมุดฯ หมายเลข 29/3 เป็นพื้นที่สำหรับการท่องเที่ยวข้ามแดนและการค้าปลอดภาษี และ (3) โครงการพัฒนาทางด่วนบ่อเต็น-ห้วยทราย ซึ่งผลการศึกษาความเป็นไปฯ ได้รับอนุมัติจากกระทรวงโยธาธิการและขนส่งของ สปป.ลาวแล้วเมื่อเดือนมกราคม 2564 โดยมีระยะทาง 176.30 กิโลเมตร กว้าง 21 เมตร มีช่องจราจรไป-กลับ 4 ช่อง กำหนดความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้งบลงทุนประมาณ 24,126 ล้านหยวน ปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุมัติโครงการเพื่อไปลงทุนในต่างประเทศต่อคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนและกระทรวงพาณิชน์จีน โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งานจะช่วยย่นระยะเวลาเดินทางระหว่างห้วยทรายกับบ่อเต็นจาก 5 ชั่วโมงเหลือ 1 ชั่วโมง 30 นาที (รถบรรทุกสินค้าใช้เวลาเดินทางจาก 9 ชั่วโมงเหลือ 2 ชั่วโมง)
ในส่วนของด่านรถไฟโม่ฮาน ซึ่งเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 พร้อมกับเส้นทางรถไฟจีน-ลาว เพื่อให้บริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทั่วไป จนกระทั่งวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ประกาศให้ด่านรถไฟโม่ฮานเป็น “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” โดยขบวนรถไฟขนส่งผลไม้เที่ยวแรก บรรทุกกล้วยจาก สปป. ลาว 13 ตู้คอนเทนเนอร์ และทุเรียนและลำไยจากไทย 12 ตู้คอนเทนเนอร์ ได้เดินทางออกจากสถานีรถไฟเวียงจันทน์ใต้ ถึงด่านรถไฟโม่ฮานเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 เพื่อดำเนินพิธีการทางศุลกากร จากนั้น เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 3 ธันวาคม 2566 ได้มีพิธีปล่อยขบวนรถไฟนำเข้าผลไม้เที่ยวแรกดังกล่าว ออกจากสถานีรถไฟโม่ฮานไปยังนครคุนหมิง ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดใช้ “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” จนถึงเดือนตุลาคม 2566 ได้มีการนำเข้าผลไม้ผ่านด่านรถไฟโม่ฮานแล้วกว่า 66,900 ตัน ส่วนใหญ่เป็นผลไม้จากไทยและ สปป.ลาว
ยูนนานเพิ่มช่องทางนำเข้าผลไม้ไทยเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าให้ผลไม้ไทย โดยในปี 2566 มณฑลยูนนานมีการนำเข้าผลไม้จากไทย 1,153.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 28.2 ทั้งนี้ นอกจากด่านโม่ฮานซึ่งเป็นด่านนำเข้าหลักของผลไม้ไทยแล้ว การขนส่งผลไม้ไทยผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวเข้าจีนที่ด่านรถไฟโม่ฮานก็มีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยเพิ่มปริมาณการนำเข้าผลไม้ไทยไปยังมณฑลยูนนานในปี 2566 นอกจากนี้ ในปี 2566 ยังได้มีการเริ่มนำเข้าผลไม้ไทยผ่านเวียดนามเข้ามณฑลยูนนานผ่านด่านเหอโข่วทั้งทุเรียน มังคุด และลำไย รวมกว่า 4,000 ตันแล้วด้วย จึงถือได้ว่า การที่มณฑลยูนนานเพิ่มช่องทางด่านชายแดนทางบกที่อนุญาตให้นำเข้าผลไม้ไทยผ่านประเทศที่สาม เป็นการเพิ่มทางเลือกและความสะดวกให้แก่ทั้งผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าจีน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าให้แก่ผลไม้ไทยทั้งการบริโภคเองในมณฑลยูนนานและกระจายสินค้าไปยังมณฑลอื่นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีช่องทางการนำเข้าเพิ่มขึ้นแล้ว และอาจมีการเพิ่มช่องทางเพิ่มเติมอีกในอนาคต รวมทั้งยังมีโครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานที่ด่านชายแดนฝั่งจีนและโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงด้วยแล้ว ประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ทั้งเกษตรกร ผู้ส่งออก โลจิสติกส์ และหน่วยงานภาครัฐควรต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ก็คือ การควบคุมคุณภาพของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค ยกตัวอย่างสินค้าทุเรียน ที่เดิมไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกทุเรียนสดไปจีนได้ แต่ปัจจุบันจีนได้อนุญาตนำเข้าทุเรียนสดจากเวียดนามและฟิลิปปินส์ได้เช่นกัน นอกจากนี้ จีนก็ยังสามารถปลูกทุเรียนในเชิงพาณิชย์ได้แล้วและยังมีความพยายามในการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มปริมาณผลผลิต ส่งผลให้จากเดิมที่ทุเรียนไทยสามารถครองสัดส่วนตลาดทุเรียนสดในจีนได้ 100% ก็ถูกทุเรียนเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจีนชิงส่วนแบ่งตลาดไป
เห็นได้จากการที่นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 ที่สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีนอนุญาตให้สามารถนำเข้าทุเรียนเวียดนามได้เป็นต้นมา มณฑลยูนนานได้นำเข้าทุเรียนเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญผ่านด่านเหอโข่วและด่านเทียนเป่า จนทำให้มณฑลยูนนานกลายเป็นแหล่งนำเข้าและกระจายทุเรียน (ทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนาม) อันดับ 2 ของจีน แซงหน้ามณฑลกวางตุ้ง โดยเป็นรองเพียงเขตฯ กว่างซีเท่านั้น
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง
การสัมภาษณ์และพบหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีน