กฎระเบียบจีนที่ควรรู้
ทรัพย์สินทางปัญญา

ปัจจุบัน กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property law) ในจีนแบ่งประเภทงานที่คุ้มครอง ที่สำคัญได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ สิทธิบัตร (Patent) เครื่องหมายการค้า (Trademark) และลิขสิทธิ์ (Copyright) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

สิทธิบัตร (คุ้มครองงานด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี)

“สิทธิบัตร” เป็นหนังสือสำคัญที่ใช้คุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ งานออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือกรรมวิธีการผลิต ซึ่งล้วนเป็นผลผลิตจากสติปัญญาของผู้คิดค้น การคุ้มครองด้วยสิทธิบัตรจะทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้น และเป็นการช่วยป้องกันมิให้ผู้อื่นเลียนแบบหรือขายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันจะทำให้เสียสิทธิและละเมิดสิทธิของผู้คิดค้น ทั้งนี้ สิทธิบัตรสามารถซื้อ ขาย หรือให้เช่าได้ (ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ) โดยสิทธิบัตรในจีนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

ประเภทเนื้อหาการคุ้มครอง
1สิทธิการบัตรประดิษฐ์ (Inventions) อายุคุ้มครอง 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นขอจดทะเบียนคุ้มครองการประดิษฐ์ คิดค้น หรือคิดทำผลิตภัณฑ์ (รวมถึงเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรม) หรือกรรมวิธีขึ้น ใหม่ เช่น การประดิษฐ์ iPhone5 หรือการคิดกรรมวิธีรักษาความสดของผลไม้ ทั้งนี้ ต้องเป็นการทำขึ้นใหม่และมีขั้นตอนการทำที่ก้าวหน้ากว่าเดิม
2สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product designs) อายุคุ้มครอง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นขอจดทะเบียนคุ้มครองการออกแบบขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ หรือทั้ง 2 อย่างรวมกันของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถจับต้องทางกายภาพได้ เช่น รูปทรงของ iPhone5 หรือลักษณะแบบของรถ Volvo โดยหากเป็นสิ่งมีรูปร่างไม่คงที่ หรือไม่สามารถมีรูปร่างคงที่ด้วยตัวเอง เช่น ก๊าซ ของเหลว หรือสารชีวภาพ เป็นต้น จะไม่สามารถจดสิทธิบัตรประเภทนี้ได้
3สิทธิบัตรผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ (Utility models) หรืออนุสิทธิบัตร (Petty Patent) อายุคุ้มครอง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นขอจดทะเบียนการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ขึ้น แต่ยังไม่ถึงมาตรฐานขั้นสูงที่เพียงพอ แต่มีลักษณะของการทำขึ้นใหม่และประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ เช่น การปรับปรุงฝาครอบลูกบิดประตูขึ้นใหม่

ข้อควรสังเกต !!

  • สิทธิตามสิทธิบัตร (Exclusive rights) เป็นสิทธิเฉพาะที่ (Territorial rights) หากนักธุรกิจไทยจดทะเบียนในไทยก็จะได้รับคุ้มครองแค่ในเขตประเทศไทยเท่านั้น ฉะนั้นหากต้องการให้ได้รับการคุ้มครองในจีนก็ควรจดทะเบียนในจีนด้วย เพื่อให้เกิดการคุ้มครองอย่างทั่วถึง
  • อายุการคุ้มครองของสิทธิบัตรจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ยื่น มิใช่นับตั้งแต่วันที่ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งโดยปกติสิทธิบัตรการประดิษฐ์จะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 ปีจึงจะได้รับอนุมัติการจดทะเบียน ขณะที่สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์จะใช้เวลาประมาณ 10 – 12 เดือน และสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์จะใช้เวลาประมาณ 12 – 18 เดือน
  • ต้องจ่ายค่ารักษาสิทธิรายปี (maintenance fee) หากขาดการจ่ายก็จะทำให้สิทธิการค้มครองสิ้นสุดลงก่อนวันสิ้นอายุการคุ้มครองตามกำหนดจริง

เครื่องหมายการค้า (คุ้มครองเครื่องหมาย โลโก้ หรือตรารับรองของบริษัทต่างๆ )

“เครื่องหมายการค้า” เป็นเครื่องหมายที่ใช้หรือให้ความหมายเกี่ยวข้องกับสินค้าว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นๆ มีความแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น รวมไปถึงเป็นการป้องกันการสับสนหรือเข้าใจผิด กับแหล่งกำเนิดของสินค้าและบริการ และประกันคุณภาพสินค้า แก่ ผู้บริโภคด้วย โดยเครื่องหมายการค้าอาจจะใช้คำ ข้อความ สัญลักษณ์ กลุ่มตัวเลขหรือตัวอักษร รูปออกแบบภาพวาด ภาพถ่าย ลายมือชื่อ กลุ่มของสี รูปทรง หรือใช้ทั้งหมดผสมกัน เพื่อสร้างเป็นเครื่องหมายการค้าขึ้น โดยกฎหมายเครื่องหมายการค้าของจีนได้จัดแบ่งประเภทเครื่องหมายการค้าออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1. เครื่องหมายการค้าทั่วไป (General trademarks)

เป็นเครื่องหมายสำหรับสินค้าและบริการ เพื่อแสดงถึงความแตกต่างระหว่างสินค้าหรือบริการประเภทต่างๆภายใต้แต่ละเครื่องหมายการค้า

2. เครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันโดยทั่วไป (Well-known trademarks)

เป็นเครื่องหมายการค้ามีชื่อเสียงกว้างขวาง และเป็นที่ รู้จักกันทั่วไปในจีน เช่น เครื่องหมายบริษัท Coca-Cola

3. เครื่องหมายร่วม (Collective marks, signs)

เป็นเครื่องหมายที่จดทะเบียนโดยบริษัท รัฐวิสาหกิจหรือสมาชิกของสมาคม องค์กร สมาพันธ์ทั้งของรัฐหรือเอกชน สำหรับให้สมาชิกได้ใช้ในกิจการทางพาณิชย์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นสมาชิกขององค์กรดังกล่าว

4. เครื่องหมายรับรอง (Certification marks)

เป็นเครื่องหมายที่ใช้โดยองค์กร ซึ่งสามารถกำกับดูแลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของบุคคลอื่นใดภายนอกองค์กร นั้นๆ ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายดังกล่าวเพื่อรับรองแหล่งกำเนิด ส่วนประกอบ คุณภาพการผลิต หรือลักษณะอื่นใดของสินค้าและบริการนั้นๆ เช่น เครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)

เป็นเครื่องหมายที่ใช้โดยองค์กร ซึ่งสามารถกำกับดูแลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของบุคคลอื่นใดภายนอกองค์กร นั้นๆ ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายดังกล่าวเพื่อรับรองแหล่งกำเนิด ส่วนประกอบ คุณภาพการผลิต หรือลักษณะอื่นใดของสินค้าและบริการนั้นๆ เช่น เครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)

ข้อควรสังเกต !!

  • เครื่องหมายที่เป็นรูปธรรมนั้นสามารถจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าได้แทบ ทั้งหมด ยกเว้นเครื่องหมายที่เป็นนามธรรม (Non-visual marks) เช่น กลิ่นหรือเสียง ซึ่งไม่สามารถนำมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ โดยการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีนจะมีอายุการคุ้มครอง 10 ปี และสามารถต่ออายุได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
  • เครื่องหมายการค้าในประเทศจีนจะได้รับการคุ้มครองก็ต่อเมื่อมีการจดทะเบียน ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น เว้นแต่ว่าเครื่องหมายการค้าที่ใช้เป็นเครื่องหมายการค้าที่รู้จักโดยกัน ทั่วไป (Well-known trademarks) ทั้งนี้ ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทขึ้น เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นๆ จะไม่สามารถออกมายืนยันด้วยตนเองว่า เครื่องหมายของตนเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงโดยทั่วไป แต่จำเป็นต้องร้องขอให้ “Trademark Office” หรือ “Trademark Review and Adjudication Board” เป็นผู้ตัดสินว่า เครื่องหมายนั้นๆ มีคุณสมบัติครบถ้วนในฐานะ “Well-known trademarks” หรือไม่
  • การจดทะเบียนยึดหลักว่า “มาจดก่อน ย่อมมีสิทธิ์ก่อน” โดยควรจะต้องจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในภาษาจีนด้วย เพื่อเป็นการสร้าง brand recognition รวมถึงป้องกันความสับสนในตัวสินค้าของผู้บริโภค และป้องกันมิให้คู่แข่งทางการค้าชิงจดทะเบียนตัดหน้าโดยใช้ชื่อที่มีเสียง พ้องกับเครื่องหมายการค้าของเราได้
  • การใช้เครื่องหมายการค้าหลังจากที่ได้จดทะเบียนแล้วนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ อย่างยิ่ง หากไม่มีการใช้เครื่องหมายดังกล่าวนานติดต่อกันถึง 3 ปี อาจมีความเสี่ยงที่เครื่องหมายนั้นจะถูก “ยกเลิก” ในฐานะ “non-use”
  • ในประเทศจีน การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะแยกจากการจดทะเบียนทางการค้า (Trademark does not include company name) อีกทั้งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบแตกต่างกันด้วย ดังนั้น ในบางครั้งจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะพบเห็นการจดทะเบียนบริษัทโดยมีเครื่อง หมายการค้าอยู่ในชื่อบริษัทด้วย

เครื่องหมายการค้า

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ผู้ประกอบการควรใส่ใจกับการรักษาสิทธิครอบครองเครื่องหมายการค้า (ยี่ห้อ) ของท่านโดยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าของท่านในจีนแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากปัจจุบันมีชาวจีน “หัวใส” เป็นแมวมองผลิตภัณฑ์ต่างชาติที่มีศักยภาพในจีน แล้วชิงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น ๆ (โดยเฉพาะยี่ห้อสินค้าของประเทศที่ไม่ได้อยู่ในพิธีสารมาดริด[1] ) ก่อนที่เจ้าของผลิตภัณฑ์จะนำไปจดทะเบียนในจีน เมื่อถูกชิงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไป ผู้ประกอบการอาจหมดอนาคตสำหรับการทำตลาดในแดนมังกร และกลับกลายเป็นผู้ละเมิดเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าของตนเองในจีนเสียเอง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก!! บริษัทไทยที่จำหน่ายเครื่องปรุงอาหารไทยชื่อดังหลายรายไม่ทันระวังตัวและต้องประสบปัญหานี้ในปัจจุบัน


จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีนไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีนนั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด เพราะจีนกำหนดให้บุคคลต่างชาติหรือบริษัทต่างชาติสามารถขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ เพียงยื่นเรื่องผ่านบริษัทตัวแทนที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเครื่องหมายการค้าภายใต้สำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและการค้าแห่งชาติ (Trademark Office of The State Administration for Industry & Commerce of the People’s Republic of China) โดยสามารถดูรายชื่อบริษัทตัวแทนที่ขึ้นทะเบียนได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานเครื่องหมายการค้าฯ http://www.saic.gov.cn/sbjEnglish/sbdl_1/zmd/

จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างไร? นานไหม?

หลังจากเลือกบริษัทตัวแทนที่ท่านประสงค์จะว่าจ้างสำหรับการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว การจดทะเบียนฯ จะใช้เวลาประมาณ 16-24 เดือนนับจากวันที่ยื่นใบสมัคร (ในกรณีที่ไม่มีผู้คัดค้านหรืออุทธรณ์) ซึ่งสามารถครอบคลุมสินค้าหรือบริการได้ 10 ชนิดใน 1 กลุ่มประเภทสินค้า (จีนแบ่งกลุ่มประเภทสินค้าและบริการออกเป็น 45 กลุ่ม)

ขั้นตอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจีน มีดังนี้

1. ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของเครื่องหมายการค้าในฐานข้อมูลของสำนักงานเครื่องหมายการค้าฯ จีน ซึ่งผู้ประกอบการอาจตรวจสอบด้วยตนเองได้ในเบื้องต้นที่เว็บไซต์ http://sbcx.saic.gov.cn/trade-e/ อย่างไรก็ดี ฐานข้อมูลนี้จะไม่มีข้อมูลของใบสมัครที่เพิ่งยื่นในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้า

2. ยื่นใบสมัครพร้อมเอกสารประกอบการจดทะเบียนฯ ใบสมัคร 1 ชุด สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ 1 เครื่องหมายการค้า ประกอบด้วย

3. ผู้สมัครจะได้รับเอกสารยืนยันการยื่นขอจดทะเบียนฯ (Notice of Acceptance of Application) ประมาณ 1 เดือน นับจากวันยื่นเอกสาร และฝ่ายจีนจะตรวจสอบใบสมัครใช้เวลาประมาณ 12-18 เดือน

  • 2.1 เอกสารรับรองของบุคคลหรือบริษัทที่ยื่นขอ (หนังสือเดินทาง บัตรประชาชน หนังสือ จดทะเบียนบริษัท รวมถึงสำเนาเอกสารซึ่งผ่านการทำนิติกรณ์แล้ว)
  • 2.2 ตัวอย่างเครื่องหมายการค้าที่จะจดทะเบียน
  • 2.3 หนังสือมอบอำนาจให้บริษัทตัวแทนที่ว่าจ้างดำเนินการแทน

4. หากตรวจสอบแล้วไม่มีความซ้ำซ้อน สำนักงานเครื่องหมายการค้าจะออกประกาศให้คัดค้านการยื่นขอ จดเครื่องหมายการค้าของท่านภายใน 3 เดือนนับจากวันที่ออกประกาศ หากไม่มีการคัดค้าน ผู้ยื่นคำขอจะได้รับใบรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใน 1-2 เดือนหลังจากนั้น โดยมีอายุ 10 ปี และสามารถยื่นเรื่องขอต่ออายุการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าได้

5. หากใบสมัครไม่ได้รับการอนุมัติ และประสงค์จะยื่นเรื่องอุทธรณ์ จะต้องดำเนินการภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ทราบผล

พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) เป็นข้อตกลงภายใต้กรอบความร่วมมือการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) จัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 เพื่ออำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศของประเทศสมาชิก กล่าวคือ ผู้ขอจดทะเบียนสามารถยื่นคำขอเพียงฉบับเดียวก็จะมีผลเท่ากับยื่นคำขอในหลายประเทศพร้อมกัน เจ้าของเครื่องหมายการค้าสามารถขอรับความคุ้มครองในประเทศอื่น ๆ ซึ่งเป็นสมาชิกพิธีสารในภายหลังได้ เจ้าของเครื่องหมายการค้าสามารถต่ออายุเครื่องหมายการค้าพร้อมกันได้ ปัจจุบันมีสมาชิก 91 ประเทศทั่วโลก (จีนเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี 2538) ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในระหว่างการดำเนินเรื่องเข้าเป็นสมาชิกในพิธีสารดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนปี 2558

ลิขสิทธิ์ (คุ้มครองผลงานด้านการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม เช่น งานบันเทิง ละคร ภาพยนตร์ ภาพถ่าย)

“ลิขสิทธิ์” เป็นสิทธิที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานจะสามารถทำการใดๆ กับผลงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น ซึ่งสิทธินี้เป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ได้รับจากการสร้างสรรค์ผลงาน เช่น หนังสือ วรรณกรรม เพลง ภาพยนตร์ ละคร ภาพวาด งานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม หรือซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ข้อควรรู้ !!

  • ผลงานที่เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของชาวจีน นิติบุคคลจีน หรือหน่วยงานจีนที่ไม่ใช่นิติบุคคล ก็จะถือว่ามีลิขสิทธิ์ในจีนตั้งแต่แรกเริ่ม สำหรับในกรณีที่เป็นผลงานของชาวต่างชาติ หากผลงานได้รับการตีพิมพ์ในจีนแล้วก็ย่อมได้รับสิทธิตามกฎหมายจีน และหากแม้ผลงานไม่ได้ตีพิมพ์ในจีนก็อาจสามารถได้รับการคุ้มครองสิทธิในจีน ด้วย เนื่องจากจีนเป็นประเทศภาคีของอนุสัญญากรุงเบิร์น (The Berne Convention for the Protection of Literary and Artistic works) ผลงานดังกล่าวจึงถือว่ามีลิขสิทธิ์และได้รับการคุ้มครองในจีนด้วยโดยไม่ต้อง จดทะเบียน ทั้งนี้ หากเจ้าของผลงานเป็นคนสัญชาติในประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญา (ไทยก็เป็นภาคีด้วย) หรือหากในกรณีที่ไม่ได้เป็นคนสัญชาติของประเทศภาคี แต่ผลงานของบุคคลนั้นได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในประเทศภาคีเป็นครั้งแรกแล้ว ก็ล้วนได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์เช่นเดียวกัน
  • นอกเหนือจากผลงานด้านวัฒนธรรมแล้ว ผลงานทางอุตสาหกรรมบางประเภทก็มีลิขสิทธิ์ด้วยเช่นกัน อาทิ Catalogue รายชื่อสินค้า รูปภาพประกอบของบริษัท หรือรูปภาพ/การจัดผังบนเว็บไซต์ของบริษัท เป็นต้น ซึ่งหากนำไปใช้โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้สร้างสรรค์จะถือว่าเป็นการละเมิด ลิขสิทธิ์
  • “สิทธิข้างเคียง (neighboring right)” เป็นสิทธิที่อยู่ควบคู่กับลิขสิทธิ์ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่มีการเผยแพร่ผลงานการประพันธ์สู่สาธารณชน อาทิ นักแสดง ผู้จัดพิมพ์ สถานีโทรทัศน์/วิทยุ และผู้จัดทำวีดีโอ/เสียงบันทึก เป็นต้น โดยบุคคลดังกล่าวควรจะได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ในกรณีที่มีการนำผลงานไปใช้ ประโยชน์เชิงพาณิชย์

ข้อควรสังเกต !!

  • เช่นเดียวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ของหลายๆ ประเทศ จีนถือว่าลิขสิทธิ์เป็น “สิทธิตามธรรมชาติ (natural rights)” ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการสร้างสรรค์ผลงาน ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องจดแจ้งทะเบียนลิขสิทธิ์เหมือน กับสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า อย่างไรก็ดี การจดทะเบียนลิขสิทธิ์จะเป็นประโยชน์สำหรับใช้เป็นหลักฐานในกระบวนการชั้น ศาลในกรณีที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้น
  • ลิขสิทธิ์ในจีนมีอายุการคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้สร้างสรรค์ผลงาน และขยายต่อเนื่องอีก 50 ปีหลังจากผู้สร้างสรรค์คนดังกล่าวเสียชีวิต (เหมือนกับพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ของไทย)

กฎระเบียบจีนที่ควรรู้
การจ้างงาน

สัญญาจ้างงาน

สัญญาจ้างงาน หรือ เรียกว่าหนังสือว่าจ้าง หรือ ข้อตกลงว่าจ้างงาน หมายถึง ข้อตกลงในการสร้างความสัมพันธ์ด้านแรงงานระหว่างผู้ใช้แรงงานกับกิจการ องค์กร หรือหน่วยงานผู้ว่าจ้าง เป็นต้น ซึ่งมีการกำหนดความรับผิดชอบ สิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน ตามข้อตกลงนี้ผู้ใช้แรงงานจะเข้าร่วมกับหน่วยงานหนึ่ง รับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบและทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งเคารพกฎระเบียบ ตลอดจนระบบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของหน่วยงานนั้น ส่วนกิจการ องค์กร หน่วยงาน หรือกลุ่มองค์กรผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ในการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ใช้แรงงานตามปริมาณและคุณภาพของงานที่ผู้ใช้แรงงานได้ทำไป อีกทั้งยังต้องเสนอเงื่อนไขต่าง ๆสำหรับแรงงาน ต้องประกันสิทธิและประโยชน์ด้านต่างๆ แก่พนักงานของหน่วยงานนั้น ๆ ตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดหรือตามข้อตกลงร่วมระหว่างสองฝ่ายมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวดังนี้

1. สัญญาว่าจ้างงานเป็นรูปแบบทางกฎหมายชนิดหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์ด้านแรงงาน ใช้รูปแบบของสัญญาในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ใช้แรงงานกับผู้ว่าจ้าง

2. คู่สัญญาของสัญญาว่าจ้างงาน ฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นพลเมืองที่มีคุณสมบัติในด้านสิทธิและมีความสามารถในการทำงาน และอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นหน่วยงานผู้ว่าจ้างที่เป็นฝ่ายบริหาร

3. ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สัญญาในสัญญาว่าจ้างงานเป็นความสัมพันธ์แบบระบบบังคับบัญชาในด้านหน้าที่การงาน ผู้ใช้แรงงานที่เป็นคู่สัญญาเมื่อได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างงานแล้ว จะเป็นพนักงานคนหนึ่งของหน่วยงานผู้ว่าจ้างที่เป็นคู่สัญญา หน่วยงานผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะสั่งให้ผู้ใช้แรงงานทำงานที่อยู่ในขอบข่ายความสามารถของผู้ใช้แรงงานให้สำเร็จตามที่สัญญากำหนด

4. สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาในสัญญาว่าจ้างงานต้องเป็นลักษณะร่วมกัน หมายถึง คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นผู้มีสิทธิในแรงงาน และขณะเดียวกันก็ล้วนเป็นผู้มีหน้าที่ต่อแรงงานด้วย ผู้ใช้แรงงานมีภาระหน้าที่ในการทำงานให้สำเร็จ เคารพกฎระเบียบของหน่วยงานนั้น ๆ หน่วยงานที่ว่าจ้างก็มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ใช้แรงงานตามจำนวนและคุณภาพที่ผู้ใช้แรงงานได้ลงแรงไป

5. การลงนามในสัญญาว่าจ้างงาน การเปลี่ยนแปลง การสิ้นสุด และการไล่ออก จะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของกฎหมายแรงงานของประเทศจีน

องค์ประกอบของสัญญาจ้างแรงงาน

  1. ระยะเวลาของสัญญาจ้างงาน
  2. เนื้อหาของงาน
  3. การคุ้มครองแรงงานและเงื่อนไขในการทำงาน
  4. ค่าตอบแทนของแรงงาน
  5. กฎระเบียบในการทำงาน
  6. เงื่อนไขในการสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน
  7. ความรับผิดชอบที่เกิดจากการทำผิดสัญญาจ้างงาน

รายละเอียดสัญญาจ้างแรงงาน

ตามข้อกำหนดของกฎหมายแรงงานแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สัญญาจ้างงานจะต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. มีระยะเวลาของสัญญาจ้างงาน ระยะเวลาสัญญาจ้างมี 3 ลักษณะคือ สัญญาที่มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน สัญญาที่ไม่มีการกำหนดเวลาที่แน่นอน และสัญญาที่ถือเอาเวลาที่งานสำเร็จเป็นจุดสิ้นสุด ถ้าหากเป็นสัญญาจ้างงานที่มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ควรจะกำหนดเวลาอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป

2. ระบุเนื้อหาของงาน หมายถึง หน่วยงานผู้ว่าจ้างกำหนดให้ผู้ใช้แรงงานทำงานอะไร เป็นเนื้อหาสำคัญในสัญญาจ้างงานที่ผู้ใช้แรงงานยอมรับในว่าเป็นหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ ซึ่งส่วนนี้จะประกอบไปด้วย การระบุตำแหน่งในหน่วยงานที่ผู้ใช้แรงงานทำงาน ลักษณะของงาน ขอบข่ายของงาน รวมถึง ภาระหน้าที่ในการผลิตงานที่จะต้องบรรลุเป้าหมายด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ

3. การคุ้มครองแรงงานและเงื่อนไขในการทำงาน หมายถึง ในสัญญาจ้างงาน หน่วยงานผู้ว่าจ้างจะต้องกำหนดเงื่อนไขในการทำงานและการผลิต รวมถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยและสุขอนามัยของผู้ใช้แรงงาน

4. ค่าตอบแทน หมายถึง หน่วยงานผู้ว่าจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้ใช้แรงงานในรูปของเงิน ตามตำแหน่งหน้าที่ ความสามารถ รวมถึงปริมาณและคุณภาพของงาน ค่าตอบแทนจะต้องระบุ จำนวนเงิน วันและสถานที่ที่จ่ายค่าตอบแทน รวมถึงประกันสังคมด้านอื่น ๆ มาตรฐานของค่าตอบแทนห้ามต่ำกว่าที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้ และต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาหมู่

5. กฎระเบียบในการทำงาน หมายถึง กฎข้อบังคับที่ผู้ใช้แรงงานต้องเคารพปฏิบัติเมื่ออยู่ระหว่างการทำงาน ประกอบด้วย กฎหมายและกฎระเบียบของฝ่ายบริหาร กฎที่ตั้งขึ้นภายในหน่วยงาน เพื่อเป็นเงื่อนไขด้านระเบียบให้ผู้ใช้แรงงานแต่ละบุคคลปฏิบัติตาม เช่น ระบบการเข้า-ออกงาน ระบบการทำงาน กฎระเบียบของแต่ละตำแหน่ง เงื่อนไขในการให้รางวัลและบทลงโทษ

6. เงื่อนไขในการสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน หมายถึง ความต้องการสิ้นสุดความสัมพันธ์ด้านแรงงาน ซึ่งเป็นเหตุผลตามความเป็นจริงที่ทำให้สัญญาจ้างงานสิ้นสุดลง เงื่อนไขที่ทำให้สัญญาจ้างงานสิ้นสุดลงที่ระบุไว้ในสัญญา โดยทั่วไปจะหมายถึงเงื่อนไขที่นอกเหนือจากที่กฎหมาย กฎระเบียบของฝ่ายบริหารได้กำหนดไว้ เป็นเงื่อนไขที่ผู้ใช้แรงงานและหน่วยงานผู้ว่าจ้างได้ร่วมกันกำหนดข้อตกลงขึ้นสำหรับการสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเซ็นสัญญาจ้างงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายควรกำหนดเงื่อนไขในการสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน

7. ความรับผิดชอบที่เกิดจากการทำผิดสัญญาจ้างงาน หมายถึง ภายในระหว่างสัญญาจ้างงาน คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจหรือหรือทำผิดสัญญาด้วยความประมาท จนทำให้สัญญาจ้างงานไม่อาจดำเนินต่อไปได้ตามปกติ เมื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจจึงควรจะต้องรับภาระซึ่งเป็นผลทางกฎหมายที่เกิดตามมา ฝ่ายที่ทำผิดสัญญา ควรจะต้องรับภาระความรับผิดชอบที่เกิดจากการทำกระทำผิดสัญญาตามที่กฎหมายหรือกฎระเบียบของฝ่ายบริหารกำหนด การกำหนดความรับผิดชอบเมื่อกระทำผิดสัญญา ควรจะสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของกฎหมาย คือ ยุติธรรมและมีเหตุผล

ระยะเวลาทดลองงานในสัญญาจ้างแรงงาน

ระยะเวลาทดลองงาน หมายถึง ช่วงเวลาที่จำกัดซึ่งหน่วยงานผู้ว่าจ้างใช้ทดสอบพนักงานระบบสัญญาจ้างงานที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ ในด้านต่างๆ ตามกฎหมายแรงงานของประเทศจีน ในสัญญาจ้างงานสามารถมีการกำหนดระยะเวลาทดลองงานได้แตกต่างกันไปตามสภาพความเป็นจริงของแต่ละกิจการ ระยะเวลาการทดลองจะไม่เกิน 6 เดือน

การกำหนดระยะเวลาทดลองงานในสัญญาจ้างงาน ด้านหนึ่งเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของหน่วยงานผู้ว่าจ้าง เป็นการให้เวลาระยะหนึ่งแก่กิจการในการทดสอบพนักงานว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ในการรับเข้าทำงาน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายโดยไม่จำเป็นของหน่วยง่านผู้ว่าจ้าง อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของพนักงานใหม่ เพื่อให้มีเวลาในการทดสอบและทำความเข้าใจเนื้องาน เงื่อนไขในการทำงาน ผลตอบแทน ว่าถูกต้องตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างงานหรือไม่ ภายในระยะเวลาการทดลองงาน หากคู่สัญญาพบว่าสภาพความเป็นจริงไม่ตรงกับที่ฝ่ายตรงข้ามได้ชี้แจงไว้ ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อภายในระยะเวลาทดลองงาน

ขั้นตอนของการทำสัญญาจ้างงาน

ตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดการสร้างความสัมพันธ์ด้านแรงงานควรมีการทำสัญญาจ้างงานโดยการเขียนสัญญาจ้างงานมีขั้นตอนสำคัญดังนี้

1. รายงานตัวโดยสมัครใจพร้อมยื่นเอกสารที่เป็นหลักฐานต่าง ๆ สำหรับการรับพนักงานโดยจัดสอบเป็นกลุ่ม ผู้เข้าสอบจะต้องยื่นหลักฐาน คือ ทะเบียนสำมะโนครัว วุฒิบัตรการศึกษาหรือหลักฐานอื่น ๆ เพื่อยืนยันสถานะของพนักงาน และเพื่อป้องกันคนจากต่างถิ่นเข้ามาร่วมสอบ หากหน่วยงานผู้ว่าจ้างมีความจำเป็นแน่ชัดว่าต้องการคนงานจากชนบท นอกจากจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายแล้ว ยังต้องแจ้งให้รัฐบาลท้องถิ่นระดับมณฑล เขตปกครองตนเอง หรือมหานครให้พิจารณาอนุมัติด้วย

2. เมื่อหน่วยงานผู้ว่าจ้างจะรับคนเข้าทำงานหรือใช้พนักงานแต่ละคน ควรจะมีการทดสอบพวกเขาอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านคุณธรรม สติปัญญา และร่างกาย ส่วนเนื้อหาและมาตรฐานการสอบ สามารถเน้นหนักด้านใดก็ได้ตามความต้องการเนื้องานและรูปแบบการผลิต

3. กรอกแบบฟอร์มอนุมัติพนักงานใหม่ และยื่นแก่รัฐบาลท้องถิ่นของเมืองหรือจังหวัดให้อนุมัติ อีกทั้งยังต้องมีหนังสือแจ้งการรับเข้าทำงานซึ่งอนุมัติโดยหน่วยงานของรัฐแจ้งแก่พนักงานใหม่ด้วย

4. ผู้ผ่านการรับเข้าทำงานยื่นเอกสารหรือหลักฐานอื่น ๆ เมื่อผู้ผ่านการรับเข้างานไปรายงานตัวต่อหน่วยงานผู้ว่าจ้าง ควรยื่นเอกสารรายงานตัว เมื่อหน่วยงานผู้ว่าจ้างตรวจสอบแล้ว จึงอนุญาตให้รายงานตัว โดยหน่วยงานที่รับพนักงานเข้าใหม่จะออกหนังสือแจ้งการยอมรับเข้าทำงานให้แก่พนักงาน

5. หน่วยงานผู้ว่าจ้างแนะนำตัวอย่างเนื้อหาและเงื่อนไขของสัญญาจ้างงานแก่ผู้ที่ผ่านการรับเข้าทำงาน ก่อนเขียนสัญญา หน่วยงานผู้ว่าจ้างควรแนะนำตัวอย่างเนื้อหารายละเอียดของสัญญาจ้างงานอย่างละเอียดและตามความเป็นจริง รวมถึงกรณีต่างๆที่เกี่ยวข้องรวมทั้งในการเซ็นสัญญา หน่วยงานผู้ว่าจ้างยังมีหน้าที่ตอบคำถามที่พนักงานที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ถาม รวมถึงรับฟังความเห็นและข้อเรียกร้องด้วย

6. สองฝ่ายปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกันในการเขียนสัญญา หน่วยงานผู้ว่าจ้างกับพนักงานที่รับเข้ามาใหม่จะทำสัญญาจ้างงานโดยผ่านการปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกัน ได้ข้อตกลงและผ่านการเซ็นชื่อประทับตราของทั้งสองฝ่าย สัญญาจ้างงานจึงถือว่าสำเร็จ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายสามารถกำหนดระยะเวลาทดลองงานในสัญญาจ้างงานได้ภายในระยะเวลาทดลองงาน หน่วยงานผู้ว่าจ้างสามารถทดสอบพนักงานในเรื่องคุณธรรม สติปัญญา และร่างกายได้อีกขั้น เพื่อให้เข้าใจมาตรฐานและความสามารถในการทำงานของพวกเขาว่ามีความเหมาะสมกับภาระหน้าที่ที่พวกเขารับผิดชอบหรือไม่ ถ้าพบว่าพนักงานใหม่ไม่เหมาะสมกับเงื่อนไขในการรับเข้าทำงานหรืองานที่รับภาระไม่เหมาะกับเขา หน่วยงานผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้

7. สหภาพแรงงานดำเนินการตรวจตราในสิ่งที่จำเป็น กฎหมายสหภาพแรงงานของจีนกำหนดไว้ว่า เมื่อฝ่ายบริหารของกิจการรับคนงานหรือพนักงานเข้ามาใหม่ ควรแจ้งแก่สหภาพแรงงานชั้นต้นทราบ ถ้าสหภาพแรงงานชั้นต้นพบว่า การรับคนงานหรือพนักงานนั้นกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐ มีสิทธิเสนอความเห็นได้ภายในสามวัน การทำเช่นนี้ สามารถป้องกันการที่หน่วยงานไม่ใส่ใจกับความต้องการในเงื่อนไขการผลิต ใช้พนักงานไม่ถูกกับงาน ทำให้กิจการได้รับความเสียหายโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการปกป้องสิทธิตามกฎหมายของคนงานหรือพนักงานที่เข้ามาใหม่ด้วย

8. ทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด หน่วยงานผู้ว่าจ้างบางประเภท ถ้าจะรับคนงานเข้ามาทำงานเฉพาะช่วงเวลา ควรทำเรื่องแจ้งแก่หน่วยงานของรัฐที่ดูแลกิจการต่างๆและหน่วยงานด้านแรงงานในท้องที่นั้น ๆให้มีการลงบันทึก เช่น กิจการเหมืองแร่ ก่อสร้าง งานจราจร งานสร้างทางรถไฟ ไฟฟ้าและไปรษณีย์ที่เป็นของเอกชน เป็นต้น ถ้าหน่วยงานผู้ว่าจ้างรับคนงานจากชนบทที่รับจ้างเป็นงาน ๆ หรือจ้างคนงานจากชนบทในระบบสัญญาแรงงาน หลังจากที่ได้เซ็นสัญญาจ้างงานโดยไปเซ็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นระดับจังหวัดหรืออำเภอพร้อมกับคนงานแล้ว ควรจะต้องทำเรื่องแจ้งแก่หน่วยงานของรัฐที่ดูแลกิจการและหน่วยงานที่ดูแลด้านแรงงานในท้องที่ให้ทำการลงบันทึก เพื่อให้ระบบสัญญาจ้างงานของจีนสมบูรณ์ขึ้น เมื่อหน่วยงานผู้ว่าจ้างเซ็นสัญญากับพนักงานที่รับเข้ามาใหม่ ควรระวังปัญหาต่อไปนี้

  1. คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายควรประเมินตนเองว่าตรงกับเงื่อนไขในการรับพนักงานหรือไม่
  2. การเขียนสัญญาจ้างงานจะต้องถูกต้องตามกฎหมายและนโยบายของประเทศ และต้องอิงกับสภาพความเป็นจริง
  3. เนื้อหาของสัญญาจะเขียนอย่างกระชับหรือละเอียดต้องดูตามความเหมาะสม สำหรับเนื้อหาที่เป็นกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศ สามารถเขียนอย่างกระชับได้ แต่หากส่วนที่กฎหมายไม่มีการกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ควรเขียนให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
  4. ภาษาที่ใช้ในสัญญาจะต้องถูกตามมาตรฐาน เข้าใจง่าย เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการที่ผู้ใช้สัญญาจะเกิดการเข้าใจผิดหรือมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน
  5. ควรกำหนดความรับผิดชอบของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจน ความรับผิดชอบไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในสัญญา แต่ยังเป็นหลักฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งในการตัดสินข้อพิพาทด้านแรงงานด้วย
  6. วันที่เขียนสัญญาและวันที่สัญญามีผลบังคับใช้จะต้องเขียนไว้ให้ชัดเจน

หลักการสำหรับการเขียนสัญญาจ้างงาน

กฎหมายแรงงานกำหนดว่า“การเซ็นสัญญาและเปลี่ยนแปลงสัญญา ควรเคารพหลักการเรื่องความเท่าเทียม สมัครใจ และปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกัน ห้ามขัดกับข้อกำหนดของกฎหมาย หรือกฎระเบียบของฝ่ายบริหาร” กล่าวให้ชัดเจน คือ การเขียนสัญญาจ้างงานต้องเคารพหลักการดังต่อไปนี้

1. หลักการถูกต้องตามกฎหมาย คือ การเขียนสัญญาจะต้องเคารพข้อกำหนดของกฎหมายและนโยบายของประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย 1) องค์ประกอบหลักของสัญญาจะต้องถูกต้องตามกฎหมาย ในฐานะที่เป็นหน่วยงานผู้ว่าจ้างจะต้องเป็นกิจการ องค์กร หน่วยงานของรัฐ สมาคม หรือกิจการส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนผู้ใช้แรงงานจะต้องเป็นพลเมืองที่มีสิทธิและมีความสามารถทางด้านแรงงาน 2) เนื้อหาของสัญญาจะต้องถูกกฎหมาย รายละเอียดและรูปแบบจะต้องไม่ขัดกับข้อกำหนดของกฎหมายและนโยบายของประเทศ ห้ามทำลายผลประโยชน์ของชาติและของสาธารณะ 3) รูปแบบและขั้นตอนการเขียนสัญญาต้องถูกต้องตามกฎหมาย

2. หลักการเท่าเทียม สมัครใจ และปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกัน เท่าเทียม คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเวลาเซ็นสัญญาจะมีฐานะทางกฎหมายที่เท่าเทียมกัน จะไม่มีความสัมพันธ์แบบทาส ความสัมพันธ์แบบที่ต้องคล้อยตาม หน่วยงานผู้ว่าจ้างและผู้ใช้แรงงานมีฐานะเท่าเทียมกันในการเขียนสัญญา สมัครใจ หมายถึง การที่สัญญาจ้างงานมาจากความเต็มใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายใดก็ไม่อาจใช้ความต้องการของตนเองมาบีบบังคับฝ่ายตรงข้ามได้ และไม่อนุญาตให้มีมือที่สามมาแทรกแซงในการเขียนสัญญา ส่วนการปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกัน หมายถึง คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายแสดงเจตจำนงในรายละเอียดแต่ละข้อบนพื้นฐานความต้องการของตนเอง และผ่านการปรึกษาโดยใช้ฐานะที่เท่าเทียม จนสามารถหาข้อตกลงที่เห็นพ้องต้องกันได้ สัญญาจึงจะถือว่าสำเร็จ หากสัญญาจ้างงานใด ๆ ขัดกับหลักการแห่งความเท่าเทียม สมัครใจ และปรึกษาร่วมจนเป็นพ้องต้องกันแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีผลเป็นโมฆะ แต่ยังควรรับภาระรับผิดชอบที่แน่นอนทางกฎหมายด้วย

ข้อควรระมัดระวังในการทำสัญญาจ้างงาน

ตามที่กฎหมายแรงงานแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกำหนดเอาไว้ การเซ็นสัญญาจ้างงานควรระมัดระวังเรื่องต่อไปนี้

1. ห้ามฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อกำหนดของฝ่ายบริหาร เท่าเทียมและสมัครใจ ห้ามใช้วิธีการบังคับ หลอกลวง หรือคุกคาม รายละเอียดของสัญญาควรเป็นความเห็นที่ทั้งสองฝ่ายปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงค่อยเซ็นสัญญา

2. ทั้งสองฝ่ายจะต้องตรวจสอบรายละเอียดแต่ละเรื่องอย่างจริงจังทั้งในเรื่อง สิทธิ หน้าที่ รวมถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องให้ผ่านการเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่ายและต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัดในการเซ็นสัญญาจ้างงาน

3. สัญญาจ้างงานควรเซ็นอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ต้องระมัดระวังเรื่องเนื้อหาของสัญญา เพราะเนื้อหาเป็รหลักฐานสำคัญในการตัดสินข้อพิพาทด้านแรงงาน สัญญาจ้างงานควรมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ ระยะเวลาของสัญญา เนื้อหาของงาน การคุ้มครองแรงงานและเงื่อนไขในการทำงาน ค่าตอบแทน วินัยในการทำงาน เงื่อนไขที่ทำให้สัญญาสิ้นสุด รวมถึงความรับผิดชอบที่เกิดจากการผิดสัญญา

4. ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของฝ่ายบริหาร และก็ยังต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง การเซ็นสัญญาจ้างงานที่ไม่อิงกับกฎหมาย และกฎระเบียบของฝ่ายบริหาร อาจก่อให้เกิดเป็นสัญญาโมฆะขึ้น

5. เนื้อหาของสัญญาจ้างงานจะเขียนอย่างกระชับหรือเขียนอย่างละเอียด การเซ็นสัญญาจ้างงานจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล หน่วยงาน และเนื้องาน ถ้าสัญญาที่เขียนอย่างกระชับ จะง่ายในการจดจำ สะดวกในการเซ็น มีความยืดหยุ่นในการปรึกษาตกลงกัน ควรเขียนให้พอเหมาะ

6. ภาษาที่ใช้ในกฎหมาย ต้องแสดงเจตจำนงให้ชัดเจน เข้าใจง่าย

การบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน

ผู้ใช้แรงงานบอกเลิกสัญญาจ้างงาน หมายถึง สัญญาจ้างงานที่ยังไม่ครบกำหนดสัญญา แต่ผู้ใช้แรงงานเป็นผู้เรียกร้องให้ทั้งหน่วยงานผู้ว่าจ้างและผู้ใช้แรงงานหยุดปฏิบัติตามสัญญาก่อนกำหนด และจะสิ้นสุดความสัมพันธ์ด้านแรงงานที่ได้เซ็นในสัญญาจ้างงานร่วมกัน ตามที่กฎหมายแรงงานของจีนกำหนด ผู้ใช้แรงงานสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างงานได้ในสองกรณี

  1. ผู้ใช้แรงงานเสนอยกเลิกสัญญาจ้างงานจะต้องทำหนังสือแจ้งถึงหน่วยงานผู้ว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า 30 วัน ใน
  2. ผู้ใช้แรงงานสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างงานกับหน่วยงานผู้ว่าจ้างได้ทุกเมื่อ แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้

1. บอกยกเลิกสัญญาจ้างงานภายในระยะเวลาทดลองงาน หากผู้ใช้แรงงานพบว่า สภาพความเป็นจริงของหน่วยงานผู้ว่าจ้างไม่ตรงตามที่แนะนำไว้กับเมื่อตอนทำสัญญา ผู้ใช้แรงงานสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างงานเมื่อใดก็ได้

2. หน่วยงานผู้ว่าจ้างบังคับให้ทำงานโดยใช้ความรุนแรง คุกคาม หรือใช้วิธีจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลโดยผิดกฎหมาย โดยผู้ใช้แรงงานมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างงานได้ทุกเมื่อ และยังสามารถฟ้องร้องหาเรียกหาความรับผิดชอบจากผู้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงโดยผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3. หากหน่วยงานผู้ว่าจ้างไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานกฎข้อบังคับของประเทศหรือตามที่สัญญาจ้างงานกำหนดในการจัดการสภาพการทำงาน อันจะทำให้ความปลอดภัยและสุขอนามัยในการทำงานมีสภาพเลวร้าย ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพของพนักงานอย่างร้ายแรง รวมทั้งได้รับการยืนยันจากหน่วยงานด้านแรงงานหรือสาธารณสุข ผู้ใช้แรงงานก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างงานได้

เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างแรงงาน

เงื่อนไขที่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างงานได้ คือ กิจการเปลี่ยนการผลิต มีการปรับภาระหน้าที่ในการผลิต สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้เกิดจากตัวผู้ใช้แรงงาน ยุบหรือแยกกิจการ หากการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ มีผลทำให้สัญญาจ้างงานฉบับเก่าไม่สามารถใช้ปฏิบัติต่อได้ หน่วยงานที่เกิดขึ้นทีหลังสามารถอ้างอิงกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาจ้างงาน โดยเคารพหลักความเท่าเทียม สมัครใจ และปรึกษาหารือร่วมกับผู้ใช้แรงงานของหน่วยงานผู้ว่าจ้างเดิม กิจการสามารถยื่นข้อเสนอแก่ผู้ใช้แรงงานในการเปลี่ยนแปลงสัญญา และอธิบายถึงเหตุผลและเนื้อหาของการเปลี่ยนแปลงใช้ชัดเจน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้ปรึกษากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงดำเนินการเปลี่ยนแปลงสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในขั้นตอนนี้ การปรับเปลี่ยนสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย จะต้องไม่ขัดกับหลักกฎหมายและข้อกำหนดของฝ่ายบริหาร กิจการควรจะกำหนดเงินเดือน รางวัล ประกันและสิทธิประโยชน์ต่างๆตามที่กฎหมายกำหนด ห้ามทำให้ผู้ใช้แรงงานเสียสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย

สัญญาจ้างแรงงานที่เป็นโมฆะ

สัญญาจ้างงานที่ผิดกฎหมาย หรือกฎระเบียบของฝ่ายบริหาร รวมถึง สัญญาจ้างงานที่เขียนขึ้นด้วยการล่อหลอก คุกคามถือเป็นโมฆะ สัญญาที่เป็นโมฆะ ให้ถือว่าไม่มีผลผูกพันตั้งแต่เขียนสัญญา สัญญาจ้างงานจะเป็นโมฆะได้โดยผ่านการยอมรับจากคณะอนุญาโตตุลาการแผนกคดีพิพาทด้านแรงงานหรือศาลประชาชน

การเปลี่ยนตำแหน่งของผู้ใช้แรงงานในระหว่างสัญญาจ้างงานยังไม่สิ้นสุด

ผู้ว่าจ้างสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของผู้ใช้แรงงานในระหว่างสัญญาจ้างงานได้ในสองกรณี ตามประกาศของสำนักงานบริหารของกระทรวงแรงงาน(เดิม) ปี 1996 ฉบับที่ 100 เรื่อง “หนังสือตอบกลับเรื่องปัญหาที่เกี่ยวกับการเกิดกรณีพิพาทด้านแรงงานระหว่างผู้ใช้แรงงานกับผู้ว่าจ้างอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนตำแหน่งงาน” ดังที่กำหนดต่อไปนี้ ผู้ว่าจ้างสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของผู้ใช้แรงงานได้ เมื่อ

1. หลังจากทำสัญญาแล้ว หากสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงโดยไม่ได้เกิดจากตัวผู้ใช้แรงงานเอง ควรผ่านความเห็นชอบจากคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายก่อน หากตกลงกันไม่ได้ ก็สามารถบอกยกเลิกสัญญาจ้างงานได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย

2. ถ้าเนื่องจากผู้ใช้แรงงานไม่สามารถรับผิดชอบงานให้สำเร็จได้ ผู้ว่าจ้าง สามารถใช้สิทธิของตนตัดสินเปลี่ยนตำแหน่งให้ผู้ใช้แรงงานได้

การทำสัญญาจ้างงานซ้อน

ประกาศกระทรวงแรงงาน(เดิม) ปี 1996 ฉบับที่ 354 เรื่อง “แจ้งให้ทราบถึงปัญหาบางประการเกี่ยวกับการปฏิบัติใช้ระบบสัญญาจ้างงาน” กำหนดว่า ผู้ว่าจ้างควรตรวจสอบหลักฐานการสิ้นสุดสัญญาจ้างงานของพนักงานที่เพิ่งรับเข้ามา รวมถึงหลักฐานอื่นๆที่แสดงว่า พนักงานคนนั้นๆไม่มีความสัมพันธ์ด้านแรงงานกับหน่วยงานใดๆ จึงจะสามารถเซ็นสัญญาจ้างงานได้ หน่วยงานผู้ว่าจ้างควรปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการรับผู้ใช้แรงงานที่ยังไม่ยุติความสัมพันธ์ด้านแรงงานกับหน่วยงานอื่นเข้ามา จนเกิดเป็นการรับภาระหน้าที่ทับซ้อน

สิทธิขั้นพื้นฐานของลูกจ้าง

รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกำหนดว่า พลเมืองชาวจีนมีสิทธิและหน้าที่ต่อแรงงาน พลเมืองคนหนึ่งๆ มีทั้งสิทธิต่อแรงงานและขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ต่อแรงงานด้วย กฎหมายแรงงานกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า “ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิโดยเท่าเทียมในการมีงานทำและเลือกอาชีพ มีสิทธิในการรับค่าจ้างจากการทำงาน สิทธิในการลาหยุดพัก มีสิทธิในการได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยและสุขอนามัยในการทำงาน สิทธิในการได้รับการอบรมทักษะในอาชีพการงาน สิทธิในการได้รับประกันสังคมและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สิทธิในการฟ้องร้องให้มีการจัดการข้อพิพาทด้านแรงงาน รวมถึงสิทธิอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้”

ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิโดยเท่าเทียมในการมีงานทำ

สิทธิแรงงาน หรือเรียกว่า สิทธิในการมีงานทำ หมายถึง พลเมืองที่มีความสามารถในการทำงานมีสิทธิที่จะมีงานทำ แรงงานคือปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตเป็นที่มาของทรัพย์สินทางวัตถุและทรัพย์ทางจิตใจทั้งหมด ถือเป็นสิทธิที่พลเมืองที่มีความสามารถในการทำงานเข้าร่วมการใช้แรงงานในสังคมและเป็นหลักประกันอย่างแท้จริงว่าเขาจะได้รับผลตอบแทนตามแรงงานที่ทำไป

ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิในการเลือกอาชีพ

สิทธิในการเลือกอาชีพของผู้ใช้แรงงานหมายถึง ผู้ใช้แรงงานเลือกงานตามความปรารถนาของตน เหมาะสมตามความสามารถและอาชีพที่ตนชอบ การที่ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกอาชีพ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้แรงงานในการแสดงความสามารถของตนเอง และเป็นการส่งเสริมให้สังคมสามารถพัฒนาพลังการผลิต ผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนสำคัญในการมีงานทำ มีสิทธิในการจัดสรรแรงงานของตนเอง สามารถอาศัยคุณสมบัติส่วนตัว ความปรารถนาและกลไกราคาของระบบตลาดเลือกหน่วยงานผู้ว่าจ้างได้ สิทธิในการเลือกอาชีพจึงแสดงให้เห็นถึงสิทธิในแรงงานของตัวผู้ใช้แรงงาน และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของสังคมด้วย

ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิในการได้รับค่าจ้าง

สิทธิในการได้รับค่าจ้างเป็นสิทธิสำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นพลเมือง รัฐธรรมนูญของจีนไม่เพียงแต่กำหนดให้พลเมืองมีสิทธิในแรงงาน อีกทั้งยังให้สิทธิในแรงงานแก่ผู้ใช้แรงงานในการสร้างทรัพย์สินทางวัตถุและทรัพย์สินนั้นจะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย หน่วยงานผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ใช้แรงงานให้ตรงเวลาและเต็มจำนวน

ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิในการลาหยุดพัก

รัฐธรรมนูญของจีนมีการกำหนดเวลาทำงานและระบบการลาของพนักงาน กฎหมายแรงงานของจีนกำหนดให้เวลาพักผ่อนประกอบด้วย การพักระหว่างช่วงเวลาทำงาน เวลาพักผ่อนหลังเลิกงาน วันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุดเทศกาลตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงการลาพักร้อน ลาเยี่ยมญาติ ลางานแต่งงานศพ ลากิจ ลาคลอด ลาป่วย

ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิในการได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยและสุขอนามัยในการทำงาน

การคุ้มครองความปลอดภัยและสุขอนามัยในการทำงาน คือ การคุ้มครองความปลอดภัยและสุขภาพทางร่างกายแก่ผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากการทำงานนั้นจะมีเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป หากไม่หานโยบายป้องกัน ก็อาจทำให้ได้รับอุบัติเหตุจากงานหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บจากการประกอบอาชีพได้ อันจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ใช้แรงงาน

สิทธิในการได้รับการอบรมทักษะในอาชีพการงาน

การฝึกอบรมทักษะในอาชีพการงาน หมายถึง บุคคลที่จะเตรียมเข้าทำงานหรือพนักงานที่มีงานทำแล้ว ไปดำเนินการศึกษาและอบรมความรู้ด้านทักษะวิชาชีพและฝึกฝนความสามารถจริงในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อ อบรมทักษะด้านอาชีพขั้นพื้นฐานหรือเพื่อยกระดับทักษะความสามารถทางวิชาชีพของตน รัฐธรรมนูญของจีนกำหนดไว้ว่า พลเมืองมีสิทธิและหน้าที่ในการได้รับการศึกษา ซึ่งประกอบไปด้วย การได้รับการศึกษาทั่วไป และรวมถึงการศึกษาด้านวิชาชีพ พลเมืองมีสิทธิในแรงงาน หากจะใช้สิทธินี้ก็ไม่สามารถหนีพ้นการที่ตนเองจะต้องมีความสามารถในอาชีพ ในยุคปัจจุบันที่ทักษะความสามารถทางอาชีพที่นับวันจะยิ่งต้องพึ่งพาการศึกษาอบรมมากขึ้นเรื่อย ๆ หากพลเมืองไม่มีสิทธิในการรับการอบรมด้านอาชีพ สิทธิในการมีงานทำก็ยากจะเป็นจริงได้

สิทธิในการได้รับประกันสังคมและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ

ประกันสังคม คือ ข้อตกลงที่รัฐบาลหรือหน่วยงานผู้ว่าจ้างทำตามที่กฎหมายหรือตามที่สัญญากำหนด โดยเสนอระบบประกันสังคมในรูปของความช่วยเหลือทางวัตถุเพื่อเป็นหลักประกันด้านความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต แก่ผู้ใช้แรงงานที่มีความสัมพันธ์ทางแรงงานตามสัญญา มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสุขภาพของผู้ใช้แรงงาน แก้ปัญหาความกังวลเรื่องภาระข้างหลังของผู้ใช้แรงงาน กระตุ้นความกระตือรือล้นในการผลิต ประกันสังคมของจีนครอบคลุมถึง การคลอดบุตร บำนาญ การเจ็บป่วย บาดเจ็บทุพพลภาพ การเสียชีวิตรวมถึงเลี้ยงดูผู้ที่เป็นทายาทด้วย

สิทธิในการฟ้องร้องให้มีการจัดการข้อพิพาทด้านแรงงาน

ข้อพิพาทด้านแรงงานหมายถึง คู่สัญญาของความสัมพันธ์ทางแรงงาน เกิดข้อพิพาทจากการปฏิบัติใช้ข้อกำหนดในกฎหมายแรงงานหรือสัญญาจ้างงานและสัญญาจ้างงานแบบรวมหมู่ คู่สัญญาเป็นตัวหลักของความสัมพันธ์ทางแรงงาน แต่ละฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเกิดความไม่ลงรอยทางความคิดจึงยากจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อหน่วยงานผู้ว่าจ้างและผู้ใช้แรงงานเกิดกรณีพิพาท ผู้ใช้แรงงานสามารถยื่นฟ้องแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้ตัดสินข้อพิพาท คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านแรงงานเป็นกลุ่มตัวแทนที่มาจากหน่วยงานผู้ว่าจ้าง สหภาพแรงงาน และตัวแทนพนักงาน ส่วนคณะกรรมการตัดสินข้อพิพาทแรงงานจะเป็นกลุ่มผู้แทนซึ่งมาจากตัวแทนจากฝ่ายบริหารด้านแรงงานของรัฐ สหภาพแรงงานที่มีตำแหน่งเท่ากัน และหน่วยงานผู้ว่าจ้าง การแก้ปัญหาข้อพิพาทด้านแรงงานควรปฏิบัติโดยยึดหลักถูกกฎหมาย ยุติธรรม และทันเวลาในการจัดการ สิทธิในการยื่นคำร้องให้จัดการข้อพิพาทเมื่อเกิดปัญหา ก็ถือเป็นการประกันสิทธิอื่น ๆ ตามกฎหมายให้แก่ผู้ใช้แรงงานด้วย

ระบบเวลาทำงานของของจีน

รัฐธรรมนูญของจีนกำหนดว่า รัฐบาลเป็นผู้กำหนดระบบเวลาทำงานของพนักงาน กฎหมายแรงงานมาตรา 36 กำหนดว่า รัฐบาลปฏิบัติใช้ระบบเวลาในการทำงาน โดยให้ผู้ใช้แรงงานทำงานในแต่ละวันไม่เกิน 8 ชั่วโมง เฉลี่ย 1 สัปดาห์ไม่เกิน 44 ชั่วโมง

วันหยุดพักผ่อน

นายจ้างต้องให้ลูกจ้างอยุดพักอย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 วัน และจะต้องให้อยุดพักในวันนักขัตฤกษ์ดังต่อไปนี้ 1) วันปีใหม่ 2) วันตรุษจีน 3) วันแรงงาน 4) วันชาติ 5) วันอยุดอื่น ๆ ตามที่รัฐบาลประกาศ

การทำงานล่วงเวลา

หากนายจ้างมีความจำเป็น สามารถให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง หรือหากมีความจำเป็นที่จะต้องทำงานเกินว่า 1 ชั่วโมง สามารถให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ไม่เกินวันละ 3 ชั่วโมง เดือนละไม่เกิน 36 ชั่วโมง โดยลูกจ้างจะต้องมีสภาพการทำงานที่เหมาะสม

โดยจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง ดังต่อไปนี้ (อัตราต่อวัน)

  1. นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยค่าล่วงเวลาเป็นเงินไม่ต่ำว่าร้อยละ 150 ของเงินเดือน
  2. นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยค่าล่วงเวลาเป็นเงินไม่ต่ำว่าร้อยละ 200 ของเงินเดือน หากให้ลูกจ้างทำงานในวันอยุดโดยไม่มีวันอยุดชดเชยให้
  3. นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยค่าล่วงเวลาเป็นเงินไม่ต่ำว่าร้อยละ 300 ของเงินเดือน หากให้ลูกจ้าทำงานในวันอยุดนักขัตฤกษ์

ลูกจ้างที่ทำงาน 1 ปีขึ้นไป จะต้องได้รับวันอยุดประจำปีตามที่กฏหมายกำหนด

สวัสดิการสำหรับผู้ใช้แรงงานที่ป่วยจากการประกอบอาชีพ

ในระหว่างการทำงานผู้ใช้แรงงานอาจได้รับอันตรายจากปัจจัยต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถทำงานได้ ผู้ใช้แรงงานจึงควรได้รับสวัสดิการในการรักษาโรคจากการประกอบอาชีพตามที่กฎหมายกำหนดและหน่วยงานผู้ว่าจ้างควรปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้กำหนดไว้

นอกจากนี้ยังได้กำหนดหลักประกันแก่แรงงานที่เจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ ในกรณีพิเศษ 3 ข้อ และยังมีการกำหนดชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายรวมถึงสิทธิที่ผู้ใช้แรงงานจะได้รับ ดังต่อไปนี้

1. ผู้ใช้แรงงานได้รับการวินิจฉัยว่าเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ แต่หน่วยงานผู้ว่าจ้างไม่ได้เข้าร่วมระบบประกันสังคม ค่ารักษาพยาบาลและหลักประกันด้านชีวิตให้ หน่วยงานผู้ว่าจ้างแห่งล่าสุดเป็นผู้รับผิดชอบ เว้นแต่หากหน่วยงานผู้ว่าจ้างแห่งล่าสุดมีหลักฐานยืนยันว่า โรคจากการประกอบอาชีพนั้น ๆ เกิดจากการทำงานให้หน่วยงานอื่นก่อนหน้าก็ให้หน่วนงานก่อนหน้านั้น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบ

2. แรงงานที่เจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ เมื่อมีการเปลี่ยนงาน สวัสดิการที่พวกเขาได้รับตามกฎหมายก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

3. หากหน่วยงานผู้ว่าจ้างควบรวมกิจการ เลิกกิจการหรือล้มละลาย ควรจะดำเนินการตรวจร่างกายให้กับผู้ใช้แรงงานที่ทำงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอันจะทำให้การเกิดโรคจากการประกอบอาชีพ และควรจัดการกับผู้ป่วยที่เป็นโรคจากการประกอบอาชีพอย่างเหมาะสมตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องได้กำหนดเอาไว้

กฎเกณฑ์การจ่ายค่าจ้าง

1. รูปแบบการจ่ายค่าจ้าง กฎหมายกำหนดให้เป็นเงิน ไม่สามารถใช้สิ่งของหรือใบแทนหนึ้ในการจ่ายได้

2. ผู้รับค่าจ้าง จะต้องเป็นตัวผู้ใช้แรงงานเอง ตัวผู้ใช้แรงงานหากมีเหตุให้ไม่สามารถมารับเงินด้วยตนเอง ก็สามารถไหว้วานให้ญาติหรือผู้อื่นมารับแทนได้ ไม่ว่ากิจการจะใช้รูปแบบการจ่ายเงินแบบใด ล้วนจะต้องออกใบสลิปเงินเดือนแสดงแก่ผู้ใช้แรงงานด้วย และจะต้องมีการเซ็นรับเป็นหลักฐานกำกับ

3. ระยะเวลาการจ่ายเงินเดือน อย่างน้อยออกเดือนละครั้ง ถ้ากิจการคิดค่าจ้างเป็นรายปี ควรแบ่งจ่ายเป็นรายเดือน ให้ชำระเมื่อถึงกำหนด และวันจ่ายเงินค่าจ้างจะต้องกำหนดชัดเจน ถ้าหากวันจ่ายค่าจ้างตรงกับวันหยุด วันเทศกาล ควรจ่ายในวันทำงานสุดท้ายก่อนหยุด หากกิจการมีพฤติกรรมจ่ายค่าจ้างเลยวันที่กำหนด ให้ถือว่าจ่ายค่าจ้างล่าช้า

4. จำนวนค่าจ้างที่จ่าย คือ เท่าที่ผู้ใช้แรงงานทำตามที่ตกลงในสัญญาจ้างงาน ในกรณีที่ผู้ใช้แรงงานทำงานตามเวลาที่กฎหมายกำหนด กิจการควรจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวนให้แก่ผู้ใช้แรงงาน หากจ่ายเงินไม่ครบเต็มจำนวนแก่ผู้ใช้แรงงานโดยไม่มีเหตุอันควร ถือว่า โกงเงินเดือน การโกงเงินเดือนนอกจากกิจการจะต้องจ่ายส่วนที่หักไปคืนแล้ว ยังต้องชดเชยเงินแก่ผู้ใช้แรงงานตามที่กำหนดไว้ด้วย

แหล่งที่มา

ศูนย์ความรู้เพื่อการค้าและการลงทุน กระทรวงพานิชย์ http://www.chineselawclinic.moc.go.th/
เว็บไซต์กระทรวงทรัพยากรมนุษย์และสวัสดิการสังคม http://www.mohrss.gov.cn/

กฎระเบียบจีนที่ควรรู้
ระบบภาษี

ภาษี : สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนไปลงทุนในจีน

จีนเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักลงทุนต่างสนใจเข้าไปปักหลักในการดำเนินธุรกิจในจีน ซึ่งนอกจากที่จะต้องพิจารณาในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ทรัพยากรและแรงงานแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนและผู้ประกอบการส่วนใหญ่มิควรจะละเลยนั้นก็คือ “ภาษี” คำสั้น ๆ แต่ทรงอานุภาพ เนื่องด้วยเกี่ยวข้องกับการบริหารต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงกฎหมายต่าง ๆ ที่ต้องปฏิบัติตาม “ภาษี” จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติในการเข้าใจต้นทุนทางภาษีที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจเข้ามาลงทุนดำเนินธุรกิจในจีน

ภาษีถือเป็นภาระหน้าที่ของผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนหรือประกอบธุรกิจในประเทศหนึ่ง ๆ ซึ่งนักธุรกิจและ นักลงทุนต้องจ่ายประเภทภาษีตามกฎระเบียบที่กำหนด โดยประเภทภาษีในจีนที่นักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติควรทราบเบื้องต้นที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีบริโภค (สรรพสามิต) ภาษีเงินได้จากการประกอบกิจการ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีธุรกิจ

ประเภทภาษีที่ควรรู้จักในจีน

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ภาษีที่เก็บจากยอดจำนวนมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุน เนื่องจากการขายสินค้า หรือการให้บริการ ผู้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้เสียภาษีทั่วไป (general taxpayer) และกลุ่ม ผู้เสียภาษีวิสาหกิจขนาดเล็ก (small-scale taxpayer) สำหรับผู้เสียภาษีทั่วไปอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมี 3 ระดับ ดังตารางที่ 1 1 และสำหรับผู้เสียภาษีวิสาหกิจขนาดเล็กจะจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 3

ตารางที่ 1 อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้เสียภาษีทั่วไป

รายการอัตราภาษี
(ร้อยละ)
สินค้าส่งออก (ยกเว้นแต่สินค้าที่รัฐบาลกลางได้ประกาศเรียกเก็บในอัตราอื่น)
การจำหน่ายสินค้าหรือการนำเข้าสินค้าบางชนิด อาทิ ผักและผลไม้ที่ไม่ได้แปรรูป ผลิตภัณฑ์จากทะเล หนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์
สาธารณูปโภคพื้นฐานที่ใช้ในบ้าน เช่น น้ำประปา ระบบความเย็น ความร้อน ก๊าซ เป็นต้น อาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี แร่โลหะและอโลหะบางชนิด
13

2. ภาษีบริโภค (สรรพสามิต) หมายถึง ภาษีที่เรียกเก็บจากกิจการผลิต หรือรับจ้างทำของ หรือนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยบางชนิด โดยการกำหนดอัตราภาษีและจำนวนที่ต้องชำระภาษีแต่ละชนิดแตกต่างกัน สินค้าที่ต้องรับภาระภาษีบริโภค เช่น บุหรี่ เหล้า เครื่องสำอาง เครื่องประทินผิว เครื่องประดับ อัญมณี ประทัด น้ำมันดีเซล ยางรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล เป็นต้น โดยอัตราภาษีขึ้นอยู่กับสินค้าแต่ละจำพวก ซึ่งคำนวณจากราคาของสินค้า หรือปริมาณ หรือขนาดของสินค้า ในอัตราภาษีที่แตกต่างกัน โดยสามารถดูอัตราภาษีบริโภคเพิ่มเติมได้ที่ http://www.gov.cn/zwgk/2008-11/14/content_1149528.htm (ภาษาจีน) http://sg2.mofcom.gov.cn/article/chinanews/200811/20081105919801.shtml (ภาษาอังกฤษ)

3. ภาษีเงินได้จากการประกอบกิจการ หมายถึง ภาษีที่เรียกเก็บจากเงินได้จากการผลิตหรือการประกอบกิจการหรือเงินได้อื่น ๆ โดยกฎหมายใหม่ซึ่งผ่านมติเมื่อต้นปี 2550 และประกาศบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551 นั้น กำหนดให้วิสาหกิจทุนจีนและวิสาหกิจทุนต่างชาติชำระภาษีเงินได้ในอัตราเดียวกัน คือ ร้อยละ 25 กรณีกฎหมายให้สิทธิพิเศษในการลดหย่อนจะกำหนดไว้ในอัตราร้อยละ 15 และ 20

อัตราภาษีเงินได้จากการประกอบกิจการเงื่อนไข
อัตราร้อยละ 15เป็นวิสาหกิจที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีชั้นสูงและเทคโนโลยีใหม่ที่อยู่ในเงื่อนไข
อัตราร้อยละ 20เฉพาะวิสาหกิจรายย่อย (Micro Enterprises:MEs) ของจีน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
(1) กลุ่มที่ทำการผลิต-มีกำไรที่นำมาคิดภาษีตลอดปีไม่เกิน 300,000 หยวน มีพนักงานไม่เกิน 100 คน มีสินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านหยวน
(2) กลุ่มที่ไม่ได้ทำการผลิต-มีกำไรที่นำมาคิดภาษีตลอดปีไม่เกิน 300,000 หยวน มีพนักงานไม่เกิน 80 คน มีสินทรัพย์รวมไม่เกิน 10 ล้านหยวน ทั้งนี้ ทางการจีนได้ส่งเสริมวิสาหกิจรายย่อยของจีนโดยปรับลดเงื่อนไขที่สอดคล้องลง คือ เป็นวิสาหกิจที่มีกำไรที่นำมาคิดภาษีตลอดปีไม่เกิน 300,000 หยวน มีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 1 ม.ค. 2555-31 ธ.ค. 2558

4. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หมายถึง ภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่และมีเงินได้ในประเทศจีน และบุคคลที่ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศแต่มีแหล่งเงินได้จากภายในประเทศจีน

4.1 ผู้มีหน้าที่รับภาระภาษี ได้แก่

1) ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ภายในประเทศจีนไม่ว่าจะเป็นชาวจีนหรือชาวต่างชาติ เมื่อมีเงินได้หรือแหล่งเงินได้ภายในประเทศจีนตามมาตรฐานที่รัฐกำหนด
2) ผู้ที่มีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศจีนครบหนึ่งปี มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากเงินได้ที่ได้จากภายในและภายนอกประเทศจีน และ
3) ผู้ที่มีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศจีนไม่ครบหนึ่งปี มีหน้าที่ต้องเสียภาษี เฉพาะเงินได้ที่มีแหล่งเงินได้ภายในประเทศจีนเท่านั้น

4.2 ประเภทเงินได้ที่ต้องชำระภาษี แบ่งเป็น 11 ประเภท ได้แก่

1) รายได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง
2) รายได้จากการผลิตหรือการประกอบกิจการค้าของร้านค้าเอกชน
3) รายได้ของบุคคลที่ได้จากการรับเหมาประกอบกิจการหรือให้เช่าเหมาแก่หน่วยงานธุรกิจ
4) รายรับจากค่าตอบแทนในการใช้แรงงาน
5) รายรับจากการอนุญาตให้ใช้สิทธิพิเศษ
6) รายรับจากดอกเบี้ย ปันผลจากหุ้น ปันผลกำไร
7) รายรับจากค่าตอบแทนด้านบรรณาธิการ
8) รายรับจากการให้เช่าทรัพย์สิน
9) รายรับจากการโอนสิทธิทรัพย์สิน
10) รายรับจากความไม่คาดฝัน (ถูกสลากกินแบ่ง) และ
11) รายรับอื่นใดที่ประกาศของกระทรวงการคลังได้กำหนดไว้

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

รายการรายละเอียดอัตราภาษี
(ร้อยละ)
อัตราก้าวหน้ารายรับจากเงินเดือน ค่าจ้างที่หักออกจากฐานรายได้ขั้นต่ำที่ไม่ต้อง นำมาคำนวณภาษีเงินได้ (ขั้นบันได 7 ระดับ)3-45
อัตราก้าวหน้ารายรับของร้านค้าเอกชน (เจ้าของคนเดียว) ที่ได้จากการผลิต การประกอบกิจการการค้า การรับเหมาประกอบกิจการการค้า หรือการให้เช่าเหมาแก่หน่วยงาน ธุรกิจ (ขั้นบันได 5 ระดับ)5-35
อัตราภาษีคงที่รายรับจากงานด้านบรรณาธิการต่าง ๆ ให้ลดหย่อน ร้อยละ 30 ของยอดรายรับ แล้วชำระภาษีในอัตราร้อยละ 20 รายรับจากจากการอนุญาตให้ใช้สิทธิพิเศษ รายรับจากดอกเบี้ย ปันผลจากหุ้น ปันผลกำไร รายรับจากการให้เช่าทรัพย์สิน รายรับจากการโอนสิทธิทรัพย์สิน รายรับจากความไม่คาดฝัน (ถูกสลากกินแบ่ง) และรายรับอื่น ๆ ชำระภาษีในอัตราร้อยละ 2020

** ปัจจุบันฐานของรายได้ขั้นต่ำที่ไม่ต้องนำมาคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับพนักงานชาวจีนอยู่ที่ 3,500 หยวนต่อเดือน และชาวต่างชาติอยู่ที่ 4,800 หยวน/เดือน (ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2554)

5. ภาษีธุรกิจ หมายถึง ภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลหรือผู้ประกอบการ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการ การรับจ้าง การโอนทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง และการขายอสังหาริมทรัพย์ (เฉพาะประเภทสิ่งปลูกสร้างและส่วนควบ) ธุรกรรมที่ต้องชำระภาษี และอัตราภาษี กำหนดไว้ 9 ประเภท ได้แก่

ประเภทธุรกรรมอัตราภาษี
(ร้อยละ)
– การขนส่ง (การขนส่งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางท่อ)
– การก่อสร้าง
– ไปรษณีย์และโทรคมนาคม
– กีฬาและวัฒนธรรม
3
– กิจการการเงินและประกันภัย
– กิจการบริการ (ตัวแทนโรงแรม ภัตตาภาร นำเที่ยว โกดังสินค้า การให้เช่าโฆษณา และอื่น ๆ)
– การโอนทรัพย์สินไม่มีรูปร่าง (สิทธิในการใช้ที่ดิน สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิในเทคโนโลยีต่าง ๆ)
– การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ (การจำหน่ายสิ่งปลูกสร้าง และส่วนควบอื่นใดของที่ดิน)
5
– กิจการบันเทิงและสถานเริงรมย์20

เกร็ดน่ารู้ : จีนเปลี่ยน “ภาษีธุรกิจ” เป็น “ภาษีมูลค่าเพิ่ม”

เพื่อกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาค SMEs รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายการปรับใช้ระบบการเก็บภาษีแบบใหม่ขึ้น โดยใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาแทนที่การเก็บภาษีธุรกิจ (BT) ซึ่งเริ่มทดลองนโยบายดังกล่าวก่อนในนครเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 สำหรับมณฑลกวางตุ้ง (รวมถึงเมืองเซินเจิ้น) เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2555 ได้มีการแถลงรายละเอียดแผนการทดลองเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแทนภาษีธุรกิจโดยจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2555 เป็นต้นไป

สาขาอุตสาหกรรมที่เริ่มทดลองตามนโยบายดังกล่าว

อุตสาหกรรมที่เริ่มทดลองปรับเปลี่ยน ได้แก่ อุตสาหกรรมการขนส่งและคมนาคม แบ่งออกเป็น 1) การบริการการขนส่งทางบก 2) การบริการการขนส่งทางเรือ 3) การบริการการขนส่งทางอากาศ และ 4) การบริการการขนส่งทางท่อ ยังรวมถึงอุตสาหกรรมบริการอันทันสมัย 6 สาขา ได้แก่ บริการทางด้านเทคโนโลยีและการวิจัย เทคโนโลยีสารสนเทศ นวัตกรรมทางวัฒนธรรม ธุรกิจที่สนับสนุนด้านโลจิสติกส์ ธุรกิจการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและบัญชี ซึ่งอัตราภาษีของแต่ละสาขาจะคิดแตกต่างกันออกไป อาทิ ธุรกิจการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์คิดอัตราภาษีร้อยละ 17 อุตสาหกรรมการขนส่งและคมนาคมคิดอัตราภาษีร้อยละ 11 อุตสาหกรรมบริการอันทันสมัยสาขาอื่น ๆ คิดอัตราภาษีร้อยละ 6 โดยเมือง/มณฑลที่เป็นจุดทดลองการปรับเปลี่ยนดังกล่าวมีดังนี้

เมือง/มณฑลระยะเวลาที่เริ่มการปรับเปลี่ยน
นครเซี่ยงไฮ้1 ม.ค. 2555
กรุงปักกิ่ง1 ก.ย. 2555
มณฑลเจียงซู1 ต.ค. 2555
มณฑลอันฮุย1 ต.ค. 2555
มณฑลกวางตุ้ง (รวมเมืองเซินเจิ้น)1 พ.ย. 2555
มณฑลฝูเจี้ยน (รวมเมืองเซี่ยเหมิน)1 พ.ย. 2555
นครเทียนจิน1 ธ.ค. 2555
มณฑลเจ้อเจียง1 ธ.ค. 2555
มณฑลหูเป่ย1 ธ.ค. 2555

และได้ทำการปรับใช้ทั่วทั้งจีนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา
แหล่งข้อมูล : เว็บไซต์หนานตูหว่าง (nddaily) www.gcontent.oeeee.com
และกว่างโจว เดลี่ (gzdaily) www.gzdaily.dayoo.com

การปรับเปลี่ยนภาษีธุรกิจเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มช่วยลดภาระต้นทุนทางธุูรกิจให้ภาคธุรกิจอย่างไร??

การปรับเปลี่ยนภาษีธุรกิจเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีส่วนช่วยลดภาระด้านต้นทุนทางภาษีให้ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจภาคบริการได้ เนื่องจากภาคธุรกิจสามาถนำค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและอุปกรณ์ต่าง ๆ มาหักลบจากจำนวนเงินที่จะนำมาคิดภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ในขณะที่การคำนวณภาษีธุรกิจนั้นจะใช้รายได้ของบริษัทเป็นฐานในการคำนวณภาษีโดยไม่สามารถหักต้นทุนใด ๆ ได้เลย ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนในการชำระภาษีที่ลดลงสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในการดำเนินธุรกิจ

หากจดทะเบียนเป็นสำนักตัวแทนไม่จำเป็นต้องเสียภาษีนิติบุคคลหรือไม่??

ผู้ประกอบการหลายท่านคงจะเคยคิดว่า จะเข้ามาบุกตลาดจีนด้วยการจดเป็นสำนักงานตัวแทน (Representative office) ก่อน เนื่องจากมีขั้นตอนที่ง่ายกว่าและสามรถลดต้นทุนภาษีได้ เนื่องจากไม่ได้ดำเนินธุรกรรมใดที่ก่อให้เกิดรายได้ที่ต้องนำมาชำระภาษี ก่อนตัดสินใจผู้ประกอบการอาจต้องคำนึงถึงขอบเขตธุรกิจของตนว่าเหมาะสมกับการจดทะเบียนบริษัทแบบสำนักงานตัวแทนหรือไม่

ทั้งนี้ สำนักงานตัวแทนไม่สามารถดำเนินธุรกรรมทางการเงินได้ หรือแม้กระทั่งการรับชำระเงินแทนบริษัทแม่ ซึ่งสำนักงานตัวแทนนี้จะทำหน้าที่เพียงแค่ประสานงานให้กับบริษัทแม่หรือให้คำแนะนำ เก็บข้อมูลด้านการตลาด ติดต่อหาแหล่งสินค้าและวัตถุดิบให้แก่บริษัทแม่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม หน่วยงานบริหารจัดเก็บภาษีของจีนได้ทำการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเรื่องการเก็บภาษีใหม่สำหรับบริษัทสำนักงานตัวแทน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2553 โดยระบุว่า ถึงแม้สำนักงานตัวแทนไม่มีรายได้ก็ต้องจ่ายภาษีเช่นกัน โดยใช้รายจ่ายเป็นฐานในการคำนวณภาษีนิติบุคคล สามารถดูตารางเปรียบเทียบการชำระภาษีระหว่างวิสาหกิจต่างชาติที่จดทะเบียนเป็นบริษัทและที่จดเป็นสำนักงานตัวแทน ดังนี้

รายการวิสาหกิจต่างชาติ ที่จดเป็นบริษัทวิสาหกิจต่างชาติ ที่จดเป็นสำนักงานตัวแทน
ฐาน (กำไร)กำไรจากการประกอบการภาษีเงินได้ให้ใช้รายจ่ายเป็นตัวคิดแทนรายได้ ทั้งนี้
กรมสรรพากรกำหนดไว้ว่า
อัตรากำไรหมายถึง ร้อยละ 15 ของรายได้ดังกล่าว
ภาษีเงินได้ร้อยละ 25
ภาษีธุรกิจร้อยละ 5
ภาษีบำรุงสิ่งก่อสร้างในเมืองร้อยละ 7
ค่าบำรุงการศึกษาร้อยละ 3
ค่าบำรุงการศึกษาท้องถิ่นร้อยละ 3
ค่าบำรุงเขื่อนร้อยละ 0.09
ภาษีอากรแสตมป์ร้อยละ 0.03ไม่ต้องรับภาระภาษีดังกล่าว

แหล่งข้อมูล The Central People’s Government of the People’s Republic of China http://www.gov.cn/zwgk/2007-12/11/content_830645.htm
และ State Administration of Taxation http://www.chinatax.gov.cn/n8136506/n8136593/n8137537/n8138502/9562629.html

จากการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบดังกล่าวส่งผลให้สำนักงานตัวแทนในจีนมีต้นทุนในการดำเนินกิจการเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรพิจารณาขอบเขตการดำเนินกิจการให้ชัดเจน เพราะการจดทะเบียนบริษัทแบบสำนักงานตัวแทนไม่สามารถลดต้นทุนในการดำเนินกิจการได้อีกต่อไป

การรู้เท่าทันเกี่ยวกับ “ภาษี” จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยให้สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามระเบียบที่ระบุไว้ รวมถึงยังสามารถทราบถึงต้นทุนด้านภาษีที่เกี่ยวข้องในการประกอบกิจการได้ด้วย ทั้งนี้ สิทธิพิเศษด้านภาษี สามารถเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญต่อการเลือกพื้นที่หรือสาขาธุรกิจที่จะลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและผู้ประกอบการควรจะศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่และประเภทการลงทุน โดยอาจขอคำแนะนำจากบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย ตลอดจนติดตามข่าวสารด้านภาษีและข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ได้จากเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รู้ทันกับกฎระเบียบและมาตรการที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน


เว็บไซต์เกี่ยวกับภาษีที่น่าสนใจ

State Administration of Taxation of The People’s Republic of China
http://www.chinatax.gov.cn/n6669073/index.html
Guangdong Provincial Local Taxation Bureau
http://www.gdltax.gov.cn/portal/gd/gden/index.htm

จัดทำโดย: นางสาวอภิญญา สงค์ศักดิ์สกุล และนายเจตนา เหล่ารักวงศ์ ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน ณ นครกว่างโจว
แหล่งข้อมูล: ศูนย์ความรู้เพื่อการค้าและการลงทุนกับจีน สำนักงานยุทธศาสตร์การพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์
http://www.chineselawclinic.moc.go.th/info/info_detail.php?idcont=23&idcontsub=244
กรมภาษีแห่งชาติ สำนักงานกวางตุ้ง (Guangdong Provincial Office, SAT)
http://www.gov.cn/jrzg/2012-02/03/content_2057874.htm
จีนเปลี่ยน “ภาษีธุรกิจ” เป็น “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เริ่มต้นในเซี่ยงไฮ้ บทสรุปใครได้? ใครเสีย?
http://tbc.tan.cloud/thaibizchina/th/articles/detail.php?IBLOCK_ID=70&SECTION_ID=551&ELEMENT_ID=9206

แหล่งข้อมูลอื่น ๆ
http://zqb.cyol.com/html/2012-07/05/nw.D110000zgqnb_20120705_2-05.htm
http://gd.people.com.cn/GB/218363/15487772.html
http://www.gzns.gov.cn/tzns/yhzc/200704/t20070420_3392.htm
http://www.gov.cn/zwgk/2012-07/03/content_2175825.htm
http://mo.mofcom.gov.cn/aarticle/zwcity/201205/20120508118204.html

กฎระเบียบจีนที่ควรรู้
ครอบครองอสังหาริมทรัพย์

Coming Soon

BACK TO TOP

กลับขึ้นด้านบน