กว่างซีหนุนใช้กระบวนการ ‘ล็อก’ ความสด ยืดอายุลิ้นจี่ —— โอกาสการเรียนรู้สำหรับผลไม้ไทยส่งออกจีน

26 Jun 2024

ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำ ๆ —— จะเริ่มเห็น “ลิ้นจี่” ตามท้องตลาดในกว่างซี โดย “ลิ้นจี่” เป็นหนี่งในผลไม้เมืองร้อนที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีน แหล่งปลูกหลักอยู่ในพื้นที่จีนตอนใต้ โดยเฉพาะในมณฑลกวางตุ้งและเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงมีผลผลิตรวมกันมากกว่าร้อยละ 85 ของทั้งประเทศจีน ส่วนที่เหลือปลูกในมณฑลไห่หนาน (เกาะไหหลำ) มณฑลฝูเจี้ยน มณฑลยูนนาน และมณฑลเสฉวน

เท่าที่มีการบันทึกพบว่า เขตฯ กว่างซีมีการปลูกลิ้นจี่ตั้งแต่เมื่อ 2,100 ปีก่อน ผลผลิตลิ้นจี่ในกว่างซีจะเริ่มออกสู่ตลาดราว ๆ ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม ใกล้เคียงกับผลผลิตลิ้นจี่ของเวียดนามที่จะออกสู่ตลาดราวเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ขณะที่ลิ้นจี่ไทยออกสู่ตลาดเร็วกว่า ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนของทุกปี

ปี 2566 กว่างซีมีพื้นที่ปลูกลิ้นจี่มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน (รองจากมณฑลกวางตุ้ง) คิดเป็นพื้นที่ปลูกรวมราว ๆ 979,207 ล้านไร่ มีผลผลิตลิ้นจี่ 960,000 ตัน มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศจีนเช่นกัน ลิ้นจี่ที่ปลูกในกว่างซีมีมากกว่า 60 สายพันธุ์ แหล่งปลูกลิ้นจี่ที่มีชื่อเสียงของกว่างซีอยู่ที่ อำเภอหลิงซาน (Lingshan County/灵山县) เมืองชินโจว ได้รับการขนานนามเป็น บ้านเกิดของลิ้นจี่จีน” มีต้นลิ้นจี่อายุมากกว่าร้อยปีมากถึง 300 กว่าต้น มีพื้นที่ปลูกและปริมาณผลผลิตลิ้นจี่สูงที่สุดในกว่างซี

เป็นที่ทราบกันดีว่า… “ลิ้นจี่” เป็นผลไม้ที่อ่อนไหวกับเวลาและไม่สามารถบ่มสุกได้ (Non-climacteric fruit) ยิ่งสดมากรสชาติที่แท้จริงยิ่งเด่นชัด รสชาติดีที่สุดของลิ้นจี่มีอายุสั้นเพียง 3 – 5 วัน เมื่อเวลาผ่านไปความสดและรสชาติที่เคยมีจะค่อยๆ จืดจางลง โดย ระยะเวลาในการขนส่งนี่เอง!!! ที่เป็นตัวพรากความสดใหม่ของลิ้นจี่(ผลไม้)

เพื่อ ‘ล็อก’ ความสด และยืดอายุของลิ้นจี่หลังการเก็บเกี่ยว เมืองหลิงซานได้นำเทคนิคการถนอมความสดของลิ้นจี่แบบผสมผสานตามหลัก “ชีววิทยา + ฟิสิกส์” ช่วยให้ลิ้นจี่ยืดอายุความสดได้ยาวนานถึง 60 วัน ช่วยเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายได้มากยิ่งขึ้น

วิธีการดังกล่าวเป็นการนำลิ้นจี่ไปแช่ในน้ำที่มีการเติม “สารชีวภาพเพื่อรักษาความสดใหม่” เคลือบผิวลิ้นจี่เพื่อยับยั้งหรือชะลอกระบวนการรวมตัวกับออกซิเจน ทำให้เปลือกลิ้นจี่มีสีสวย (ไม่ดำ) คงความสดใหม่ และรสชาติไม่เปลี่ยน สารชีวภาพดังกล่าวยังมีสารระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (Bacteriostatic Agent) รวมถึงสาร Tea Polyphenols และกรดแอสคอร์บิค (Ascorbic Acid) หรือวิตามิน ซี ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างการมนุษย์ จึงตัดประเด็นความไม่ปลอดภัยของอาหารไปได้

วิธีการ ‘ล็อก’ ความสดของลิ้นจี้ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเกษตรและชนบทของอำเภอหลิงซานกับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเกษตรของมณฑลอันฮุย โดยทีมวิจัยใช้เวลาติดตามผลนานกว่า 3 ปี และได้เริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรนำองค์ความรู้ดังกล่าวไปใช้อย่างแพร่หลายในปีนี้ อนึ่ง ผลวิจัยดังกล่าวได้แจ้งจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ เกษตรกรต้องใส่ใจกับกระบวนการเก็บเกี่ยวจนถึงขนส่งเพื่อการรักษาความสดใหม่ของลิ้นจี่ด้วยการเก็บเกี่ยวผลลิ้นจี่ควรเลือกช่วงเวลาเช้าที่น้ำค้างแห้งแล้ว และยังไม่แดดจัด เก็บผลลิ้นจี่ที่ระดับความสุกร้อยละ 80 – 85 (ไม่ควรสุกจัด) ขนมาพักรวมกันในที่ร่ม เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาความสดและคัดบรรจุก่อนส่งจำหน่ายต่อไป โดยลิ้นจี่ควรเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิ 3 – 5 องศาเซลเซียส

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ สถานการณ์การปลูก “ลิ้นจี่”ในประเทศจีนกำลังชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกมีแนวโน้มลดลงทุกปี จาก 3.58 ล้านไร่ในปี 2560 เหลือ 3.38 ล้านไร่ในปี 2566 ที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลผลิตลิ้นจี่ก็มีความผันผวนจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ โดยบางปีได้ผลผลิตดี บางปีได้ผลผลิตต่ำสลับกัน โดยปี 2566 เป็นปีของลิ้นจี่จีน ผลผลิตลิ้นจี่มีอยู่ราว 3.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 53.1 (ปี 2565 ผลผลิตตกต่ำเพียง 2.53 ล้านตัน)

ในปี 2567 พื้นที่ปลูกลิ้นจี่ยังคงลดลงเหลือ 3.27 ล้านไร่ จากสถานการณ์การติดดอก คาดการณ์ว่า ปีนี้ ผลผลิตลิ้นจี่โดยรวมจะลดฮวบถึงร้อยละ 45.94 (YoY) เหลือเพียง 1.78 ล้านตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศอุ่นในฤดูหนาว (Warm Winter) และปริมาณน้ำฝนมากที่ตกในฤดูใบไม้ผลิ ส่งผลให้ผลผลิตลิ้นจี่ลดลง จนชาวเน็ตต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า… นี่จะกลางฤดูลิ้นจี่แล้วยังไม่เห็นยังไม่ได้ซื้อลิ้นจี่เลย บางก็บอกว่า.. ลิ้นจี่ปีนี้ราคาแรง อย่างลิ้นจี่พันธุ์ กุ้ยเว่ย (桂味) ราคาหน้าแผง ขายแพงถึงกิโลกรัมละ 160 – 180 หยวนเลยทีเดียว (ปัจจุบัน ทุเรียนสดขายอยู่ที่ราวๆ กิโลกรัมละ 70 หยวน)

การนำเข้า “ลิ้นจี่” จึงเป็นทางเลือกเพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคในจีน ปัจจุบัน รัฐบาลจีนอนุญาตการนำเข้าลิ้นจี่จาก 4 ประเทศ คือ เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และเมียนมา โดยช่วง High Season ของการนำเข้าลิ้นจี่อยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนของทุกปี ที่ผ่านมา พบว่า ‘ลิ้นจี่ญวน’ ครองส่วนแบ่งในตลาดจีนมากที่สุดมาโดยตลอด

ในรูปแบบการนำเข้าผ่านด่านสากล ข้อมูลปี 2566 จีนนำเข้าลิ้นจี่ 31,019 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 994.57 (YoY) คิดเป็นมูลค่านำเข้ารวม 84.61 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 842.1 (YoY) โดยเวียดนาม ‘กินรวบ’ ตลาดนำเข้าลิ้นจี่ของจีนด้วยสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด โดย มณฑลยูนนาน เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สุด (สัดส่วน 99.86 ของปริมาณนำเข้าทั้งประเทศ) ส่วนที่เหลือเป็นผู้นำเข้ารายย่อยอื่นจากมณฑลเหอเป่ย กรุงปักกิ่ง และเขตฯ กว่างซีจ้วง

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้รวมถึงการนำเข้าผ่านด่านที่เป็นจุดผ่อนปรนตลาดการค้าสำหรับชาวชายแดน (ตัวเลขการค้าไม่ถูกบันทึกอยู่ในระบบการค้าสากล) โดยเฉพาะการนำเข้าในรูปแบบ การค้ามูลค่าต่ำตามแนวชายแดน (บริษัทชาวชายแดน) ของเขตฯ กว่างซีจ้วงกับเวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในบรรดามณฑลชายแดนของจีน

ในบริบทที่เขตฯ กว่างซีจ้วงมีเขต/จุดผ่อนปรนตลาดการค้าสำหรับชาวชายแดนมากที่สุดในจีน และในฤดูผลไม้ การนำเข้าผ่านด่านสากลอย่างด่านโหย่วอี้กวานมีความแออัด การผ่านพิธีการศุลกากรและการระบายรถสินค้าต้องใช้เวลามากพอสมควร ทำให้ เขต/จุดผ่อนปรนตลาดการค้าสำหรับชาวชายแดน เป็นช่องทางการนำเข้าผลไม้เวียดนามที่สำคัญช่องทางหนึ่งของกว่างซี โดยเฉพาะที่ด่านผู่จ้าย ด่านนงหราว และด่านอ้ายเตี้ยน

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 กว่างซีนำเข้า ‘ลิ้นจี่ญวน’ ล็อตแรกของปีผ่านด่านการค้าชายแดนผู่จ้ายในอำเภอระดับเมืองผิงเสียง เจ้าหน้าที่บริษัท Guangxi Shenghang Import and Export Trading Co.,Ltd. (广西胜航进出口贸易有限公司) เจ้าของลิ้นจี่ล็อตดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า ลิ้นจี่ เป็นหนึ่งในสินค้านำเข้าสำคัญของบริษัท คาดว่าปีนี้จะนำเข้าลิ้นจี่ 30 ตู้ หลังจากผ่านพิธีการศุลกากรเรียบร้อยแล้วจะขนส่งไปยังมณฑลเหอหนาน เหอเป่ย

บีไอซี เห็นว่า การที่ ‘ลิ้นจี่ญวน’ สามารถ ‘ยืนหนึ่ง’ ในตลาดจีนได้นั้น ปัจจัยหลักมาจากการมีเวียดนามมีพรมแดนติดกับจีน กอปรกับการที่ ‘ลิ้นจี่’ เป็นผลไม้ที่บอบบางที่ต้องแข่งกับเวลา ทำให้เวียดนามมีข้อได้เปรียบด้านระยะทางและระยะเวลาการขนส่ง

โอกาสของ ‘ลิ้นจี่ไทย’ อยู่ตรงไหน???  บีไอซี เห็นว่า ฤดูกาลที่ผลผลิตออกสู่ตลาดที่เหลื่อมกัน เป็น ‘โอกาส’ ที่เกษตรกรชาวสวนลิ้นจี่ รวมถึงผลไม้ไทยชนิดอื่น ๆ สามารถวางแผนเพื่อทำตลาดจีนได้ เพราะผู้บริโภคชาวจีนเชื่อมั่นในรสชาติและคุณภาพของผลไม้ไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่เกษตรกรชาวสวนต้องรักษาคุณภาพการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) โดยเฉพาะเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมการบรรจุหีบห่อและการขนส่งเพื่อการส่งออกไปตลาดจีน

อย่างเทคโนโลยีการเกษตรในการ ‘ล็อกความสด’ ของลิ้นจี่ที่ได้เล่าไปข้างต้น เป็น ‘โอกาสและความหวังใหม่’ ที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนไทยสามารถแสวงหาช่องทางในการพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ดังกล่าว ซึ่งจะช่วยก้าวข้ามข้อจำกัดด้านระยะทางและระยะเวลาการขนส่ง ติดปีกให้กับ ‘ลิ้นจี่ไทย’ และเป็นการตอกย้ำด้านภาพลักษณ์และค่านิยมของผลไม้ไทยที่มีคุณภาพและความสดใหม่ในสายตาของผู้บริโภคชาวจีน



จัดทำโดย นายกฤษณะ สุกันตพงศ์ ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน ณ นครหนานหนิง
ที่มา เว็บไซต์ https://news.gxtv.cn (广西广播电视台) วันที่ 16 มิถุนายน 2567
เว็บไซต์ www.gx.chinanews.com.cn (中国新闻网) วันที่ 15 มิถุนายน 2567

เว็บไซต์ https://food.cnr.cn (央广网) วันที่ 17 พฤษภาคม 2567
เว็บไซต์ www.customs.gov.cn (海关总署网)
ภาพประกอบ https://news.cctv.com

ลิ้นจี่

Nanning_editor2

ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ข่าวยอดนิยม

อ่านข่าวอื่น

BACK TO TOP

กลับขึ้นด้านบน