SMEs ไทยควรรู้ Tips & Tricks จด “เครื่องหมายการค้า” สิ่งที่ต้องทำก่อนบุกตลาดจีน
6 Oct 2021โดย นายกฤษณะ สุกันตพงศ์
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC)
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง
คุณคิดว่า… มูลค่าแบรนด์ หรือ brand value เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อธุรกิจคุณมากขนาดไหน ธุรกิจในยุคนี้ต่างพุ่งเป้าไปที่การสร้างแบรนด์ หรือการสร้าง “ตัวตน” ที่ชัดเจนของสินค้าและบริการของตนเพื่อใช้ในสื่อสารและสร้างภาพจำให้กับผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นด้วย “เครื่องหมายการค้า” ดังนั้น หากเจ้าของสินค้าไม่คุ้มครองเครื่องหมายการค้าแล้ว วันดีคืนดี เจ้าของแบรนด์ตัวจริงก็อาจกลายเป็นผู้ละเมิดเครื่องหมายการค้าของตนเองในจีนไปซะงั้น
ดินแดนมังกรจีนเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญที่ธุรกิจจากทั่วโลกต้องการเข้าไปชิงส่วน “แบ่งเค้ก” ในตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงด้วยจำนวนประชากรเกือบ 1/4 ของโลก และกว่า 989 ล้านคนเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ต (1/5 ของโลก) แต่ปัญหาใหญ่ที่มักจะทำให้ธุรกิจต่างชาติ(ไทย)ตกม้าตายและไปไม่ถึงฝันในการทำธุรกิจการค้าในตลาดจีน ก็คือถูก Trademark Hijacking หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าโดน “โจรปล้นแบรนด์” ด้วยวิธีการชิงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตัดหน้าเจ้าของที่แท้จริง
ปัจจุบัน Trademark Hijacking เป็นฝันร้ายของผู้ประกอบการต่างชาติ(ไทย)ในประเทศจีน ประเทศที่มีการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามากที่สุดในโลก และพบปัญหา Trademark Hijacking มากที่สุดในโลกเช่นกัน โดยกรณีศึกษาที่ Apple Inc. ต้องแพ้คดีเครื่องหมายการค้า iPhone ในจีนให้กับบริษัทผู้ผลิตเครื่องหนังจีนเมื่อหลายปีก่อน เป็นอุทาหรณ์ที่ทำให้การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีนเป็นหนึ่งในความท้าทายที่เจ้าของสินค้า(ไทย)จำเป็นต้องดำเนินการก่อนไปบุกตลาดจีน
“โจรปล้นแบรนด์” เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะกรณีที่ดีลเลอร์ในประเทศจีน(ตั้งใจ)นำเครื่องหมายการค้าของบริษัทไทยไปจดทะเบียนไว้เป็นของตัวเอง เพื่อกีดกันไม่ให้บริษัทไทยแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายรายอื่น หรือที่แย่กว่านั้น คือการไปว่าจ้างให้บุคคลอื่นผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายโดยใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกัน
หรือในกรณีที่ชาวจีน “หัวใส” ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเครื่องหมายการค้าเลย แต่ทำตัวเป็นแมวมองสินค้าและบริการต่างชาติที่มีศักยภาพในตลาดจีน แล้วชิงลงมือจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นก่อนที่เจ้าของแบรนด์จะนำไปจดทะเบียนในจีน เพื่อขายคืนให้กับเจ้าของตัวจริงในราคาที่สูงลิบลิ่ว ซึ่งหากเจ้าของไม่ซื้อเครื่องหมายการค้าคืน สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นอาจ “หมดอนาคต” สำหรับการทำตลาดในแดนมังกร
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก!! ที่ผ่านมา เจ้าของสินค้าไทยเจ้าดังหลายรายที่ไม่ทันระวังและต้องประสบปัญหานี้มาแล้ว และเป็นอุทาหรณ์สำหรับ SMEs โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส เครื่องสำอาง และเฟอร์นิเจอร์
ปัญหาดังกล่าวสร้างความเสียหายทางธุรกิจ บางรายต้องสูญเงินจำนวนมากเพื่อซื้อคืนเครื่องหมายการค้าทั้งที่เป็นของตนเองแท้ๆ และที่แย่กว่านั้น ในบางรายถึงขั้นต้องสูญเสียเครื่องหมายการค้าที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองไป และต้องรีแบรนด์หรือปั้นแบรนด์สินค้าใหม่ก็มี
การขาดความรู้และมองข้ามความสำคัญเกี่ยวกับการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าของตนเอง ความโชคร้ายที่โดนตัวแทนจำหน่าย หรือโรงงานจ้างผลิต (OEM) หักหลัง หรือดันไปเจอแมวมองผลิตภัณฑ์จากการนำสินค้าไปออกบูธแสดงสินค้า โดยที่ไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ในประเทศจีนก่อน เป็นช่องโหว่ที่เหล่า “โจรปล้นแบรนด์” จะฉกฉวยโลโก้เท่ๆ หรือสโลแกนเก๋ๆ ไปใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ได้ง่าย
หากคุณสงสัยว่า… เครื่องหมายการค้าของคุณเจอ Trademark Hijacking ในจีนหรือไม่ เบื้องต้นสามารถสืบค้นได้ที่เว็บไซต์ของ Trademark office of China National Intellectual Property Administration (ลิงก์ย่อ https://bit.ly/3yVSXwE) ลิงก์ดังกล่าวเป็นลิงก์ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้สืบค้นเครื่องหมายการค้าที่ต้องการยื่นจดทะเบียนก่อนการยื่นคำร้องเช่นกัน
บีไอซี ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเทพรัตน์ ตันติกัลยาภรณ์ บริษัทที่ปรึกษา Red Silk Consulting (Shanghai) ทำให้ได้รับข้อมูลและประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศจีนมาแบ่งปันให้กับผู้อ่าน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ “เครื่องหมายการค้า” ในประเทศจีน ประเทศจีนจำแนกประเภทของเครื่องหมายการค้าและบริการเป็น 45 จำพวก (สอดคล้องกับมาตรฐานสากลขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือ WIPO) แบ่งเป็นเครื่องหมายการค้า 34 จำพวก (สำหรับสินค้าทั่วไป) และเครื่องหมายบริการ 11 จำพวก (เช่น โรงแรม โรงพยาบาล)
เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในจีนนั้นจะมีอายุความคุ้มครอง 10 ปี และสามารถขอยื่นต่ออายุได้อีกคราวละ 10 ปี แต่ทางการจีนสามารถเพิกถอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าได้ หากพบว่าไม่มีการใช้งานเกิน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่มีการจดทะเบียน หรือกรณีที่เครื่องหมายการค้ามีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายจีน ปัจจุบัน วงการการค้าโลกต่างให้ความสำคัญกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โดยได้มีการบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งระบบการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศภายใต้พิธีสารกรุงมาดริด (Madrid Protocol) ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในประเทศที่เป็นภาคีสมาชิกสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและเลือกขอรับความคุ้มครองระหว่างกันได้ที่ประเทศต้นทาง โดยประเทศจีนได้เข้าเป็นภาคีพิธีสารแล้วเมื่อปี 2538 เช่นเดียวกับประเทศไทยที่เข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้สร้างความตระหนักให้ภาคธุรกิจยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงเพื่อความคุ้มครองทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจเหนือคู่แข่งขันอีกด้วย แพลตฟอร์ม e-Commerce รายใหญ่ในจีนเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเครื่องหมายการค้าเป็นอย่างมากเช่นกัน อย่างเช่นการจะเปิดร้านค้าออนไลน์บน Tmall.com หรือ JD.com ก็จำเป็นต้องมี “หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ”เป็นเอกสารประกอบที่ขาดมิได้ด้วย
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีนนั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แม้ว่าประเทศจีนยังไม่เปิดให้บุคคลต่างชาติหรือบริษัทต่างชาติที่ยังไม่มีสำนักงานในประเทศจีนยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ด้วยตนเอง แต่สามารถยื่นผ่านบริษัทตัวแทน หรือ “เอเจนซี่” ที่มีอยู่มากมายได้
แน่นอนว่า…แต่ละเอเจนซี่ก็มีความแตกต่างกัน ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่ดุเดือนของเหล่าเอเจนซี่ สิ่งที่ต้องระวัง คือ “หลุมพรางราคา” ดังสโลแกนที่ว่า ของถูกไม่ดี ของฟรีไม่มีในโลก นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความเป็นมืออาชีพของเอเจนซี่ และความคาดหวังต่อบริการที่ได้รับด้วย “แพจเกจที่ใช่ บริการที่ชอบ” (ก็ซื้อแพคเกจบริการจะช่วยคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลายในกรณีที่ต้องอุทธรณ์คำคัดค้าน และระวังพวกที่ “พอเจอปัญหาแล้วหนีหาย ไลน์ไปไม่ตอบ”)
ความละเอียดอ่อนของการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ท่านทราบหรือไม่ว่า… เครื่องหมายการค้าที่จำแนกเป็น 45 จำพวกดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น แต่ละจำพวกยังมีรายการสินค้าแยกย่อยรวมนับพันรายการ แบรนด์ต่างๆ จะต้องระบุรายการสินค้าและบริการของตนเองให้ชัดเจนว่า เครื่องหมายการค้าดังกล่าวขายสินค้าและบริการอะไร จัดอยู่ในจำพวกไหน
“เลือกผิด ชีวิตเปลี่ยน” การเลือกรายการสินค้าไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องของค่าธรรมเนียมและการพิจารณารับจดทะเบียนของนายทะเบียนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ “ความคุ้มครองในเครื่องหมายการค้า” ด้วย เพราะหากระบุรายการสินค้าและบริการไม่ชัดเจน ไม่ครอบคลุม ตกหล่น หรือผิดประเภท ก็อาจจะถูกปฏิเสธ ต้องเสียเวลาในการแก้ไขรายการสินค้าใหม่ กรณีที่เลวร้ายกว่านั้น หากรายการสินค้าและบริการดังกล่าวมีบุคคลอื่นนำไปจดทะเบียนไปแล้ว คุณก็อาจจะต้องเสียโอกาสทางการค้าไปเลย
โดยเฉพาะสินค้าที่จำหน่ายเป็นชุด และมีโลโก้ของตัวเองบนผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางแป้งปัดแก้ม (blush on) นอกจากจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับแป้งปัดแก้ม (จำพวกที่ 3) แล้ว ก็อาจจะพิจารณาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของแปรงปัดแก้ม (จำพวกที่ 21) ด้วย หรือแบรนด์ผลิตภัณฑ์หมอนยางพาราที่จำหน่ายเป็นชุดพร้อมกับปลอกหมอน ก็อาจจะพิจารณาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของปลอกหมอน (จำพวกที่ 24) ไปด้วย
โดยทั่วไป เหล่าเจ้าของสินค้าที่เป็น global brand หลายรายมีความระมัดระวังเรื่องลิขสิทธิ์ในจีนมาก ยกตัวอย่างเช่นแบรนด์กาแฟดัง Starbucks ถึงกับจดเครื่องหมายการค้าครบทุกจำพวก เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มียาสีฟันยี่ห้อ Starbucks โผล่ออกมาในตลาดจีนแน่ๆ
ดังนั้น การเลือกใช้ “เอเจนซี่” ที่มีความเป็นมืออาชีพจึงเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ใช้บริการควรพูดคุยขอคำปรึกษา/ข้อแนะนำให้มาก โดยเฉพาะในรายที่ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องหมายการค้ามากนัก ควรหาข้อสรุปเกี่ยวกับรายการสินค้าและบริการที่ต้องการจดทะเบียนให้ชัดเจน และระวังเอเจนซี่บางรายที่มักถือวิสาสะเลือกรายการสินค้าและบริการให้ลูกค้าเอง
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า นอกจากจะจดทะเบียนกับสินค้าและบริการที่ขายในปัจจุบันแล้ว ยังสามารถ “กินน้ำเผื่อแล้ง” ด้วยการจดรายการสินค้าและบริการที่จะมีในอนาคตได้เช่นกัน เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน และป้องกันมิให้ผู้ใดไปจดทะเบียนตัดหน้าไปก่อน
การจัดเตรียมเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีน เอกสารทุกชนิดต้องมีคำแปลภาษาจีน แต่ “ไม่ต้องรับรองนิติกรณ์เอกสาร” โดยทั่วไป เอเจนซี่มีแบบฟอร์มอยู่แล้ว ง่ายๆ เพียง Copy & Paste ทั้งนี้ แนะนำให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในนามนิติบุคคล (บริษัท) ดีกว่าในนามบุคคลธรรมดา โดยใช้เป็นชื่อ “นิติบุคคล” มิใช่ชื่อกรรมการของนิติบุคคล เพราะการจดทะเบียนในนามบุคคลธรรมดาที่ต้องใช้สำเนาหนังสือเดินทางเป็นเอกสารสำคัญ เมื่อหนังสือเดินทางหมดอายุหรือสูญหาย เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะต้องแจ้งขอเปลี่ยนแปลง(อัปเดท)ข้อมูลการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีนใช้เวลาสั้นลงจากเดิม แต่ผลการอนุมัติกลับยากขึ้นกว่าเดิม เพราะเงื่อนไขสำคัญของการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าก็คือ เครื่องหมายการค้าต้องไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนในจีนไว้แล้ว หลังจากที่ได้ทำการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเข้าไปในระบบแล้ว กระบวนการชั้นต้น เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบและพิจารณาสั่งการคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
กรณีที่คุณสมบัติครบถ้วน นายทะเบียนก็จะมีคำสั่งรับจดทะเบียนที่เรียกว่า “ใบรับเรื่องการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า” ให้กับผู้ยื่นคำร้อง และลงประกาศโฆษณาลงบนเว็บไซต์ของ Trademark office of China National Intellectual Property Administration โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 4 เดือน หลังจากนี้ก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะมีใครส่งเรื่องคัดค้านเครื่องหมายการค้าที่ได้ประกาศไว้หรือไม่ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 3 เดือน
กรณีที่มีผู้คัดค้าน ผู้ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายจะต้องส่งเรื่องอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา (ภายใน 10 วัน นับตั้งแต่วันที่ในใบแจ้งคำคัดค้าน) โดยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ 2 ครั้ง ขอย้ำว่า…การเลือกใช้ “เอเจนซี่” ที่มีความเป็นมืออาชีพเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในกระบวนการยื่นอุทธรณ์ การโต้แย้งคำคัดค้านต้องจัดเตรียมเอกสารที่มีน้ำหนักสนับสนุน และชี้แจงรายละเอียดของการโต้แย้งด้วยเหตุผลที่ชัดเจนรัดกุม ดังนั้น ความ “สำเร็จ vs ล้มเหลว” ของการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีน วิทยายุทธของ “เอเจนซี่” ก็เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ
หลังจากการประกาศโฆษณา 3 เดือน หากไม่ปรากฎผู้ยื่นคำคัดค้าน หรือกรณีที่โต้แย้งสำเร็จและไม่พบผู้คัดค้าน สำนักงานเครื่องหมายการค้าจะรับจดทะเบียน ออกเลขทะเบียน และส่ง “หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า” ไปยังผู้จดทะเบียน ซึ่งถือเป็นกระบวนการสุดท้ายที่แสดงว่าเครื่องหมายการค้านั้นได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายแล้ว
อย่าหลงกล!! “เอเจนซี่” ที่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจีนบางราย เพราะมักหลอกผู้ใช้บริการให้หลงเชื่อว่าการได้รับ “ใบรับเรื่องการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า” จากนายทะเบียนถือว่าเครื่องหมายการค้านั้นได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายในจีน ซึ่งในความเป็นจริง ยังมีกระบวนการประกาศโฆษณา คัดค้านและโต้แย้งรออยู่
จำไว้ว่า… หากยังไม่ได้รับ “หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า” นั่นหมายความว่า… เครื่องหมายการค้าของคุณยังไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างสมบูรณ์
หลายท่านอาจมีคำถามว่า… ในเมื่อประเทศไทยและประเทศจีนต่างได้เข้าเป็นภาคีพิธีสารกรุงมาดริด (Madrid Protocol) แล้ว ก็สามารถยื่นคำขอจดคุ้มครองเครื่องหมายการค้าได้ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา และเลือกขอรับความคุ้มครองในประเทศจีนได้เหมือนกัน โดยไม่จำเป็นต้องหา “เอเจนซี่” ช่วยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศจีนมิใช่หรือ?
หากเปรียบเทียบกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยตรงในจีน ระบบการยื่นคำขอภายใต้พิธีสารกรุงมาดริด มีค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอที่สูงกว่า (คิดเป็นเงินสกุล “ฟรังก์สวิส” เพียงสกุลเดียวสำหรับการขอรับความคุ้มครองไม่ว่าในประเทศใดก็ตาม) และใช้เวลานานกว่ามาก จากกรณีของบริษัท Apple Inc. ที่กล่าวมาข้างต้น และความเห็นของบริษัทกฎหมายหลายแห่งที่เชี่ยวชาญในตลาดจีน ก็ยังเห็นว่าการไปจดเครื่องหมายการค้าโดยตรงในจีนโดยการยื่นผ่านบริษัทตัวแทนที่มีความเชี่ยวชาญและเชื่อถือได้น่าจะเป็นคำตอบหลักสำหรับผู้ประกอบการ(ไทย)ที่ต้องการบุกตลาดจีนอย่างจริงจัง
แม้กฎหมายจะเปิดโอกาสให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าสามารถคัดค้านหรือเพิกถอนเพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่แท้จริงได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลา ภาระการพิสูจน์ และค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น การวางแผนเพื่อคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในตลาดจีนจึงเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกที่ผู้ประกอบการไทยต้องตระหนัก โดยการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าและบริการในจีนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
*******************