KK Group สตาร์ตอัปค้าปลีกแนวใหม่ ยูนิคอร์นม้ามืดประจำปี ค.ศ. 2020
1 Feb 2021KK Group ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 โดยจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์เท่านั้น และเมื่อปี 2562 ได้เปิดร้าน KKV ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสินค้าที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ ต่อมาได้เปิดร้าน The Colorist ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกผลิตภัณฑ์ความงาม และไม่นานมานี้ ได้เปิดร้าน X11 ซึ่งจำหน่ายของเล่นและฟิกเกอร์ ด้วยความหลากหลายของสินค้าและราคาที่ไม่แพง ทำให้ร้านค้าในเครือ KK Group เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ถึงแม้ว่าในช่วงปี 2563 ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่บริษัทยังคงประสบความสำเร็จและมีนักลงทุนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทำให้ KK Group ได้รับการจัดอันดับให้เป็นยูนิคอร์นม้ามืดของจีนประจำปี ค.ศ. 2020
ปัจจุบัน ร้าน KKV มีมากกว่า 300 สาขาทั่วจีน โดยแต่ละสาขาจะมีขนาดใหญ่ถึง 1,000 ตร.ม. และนิยมเปิดในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ อีกทั้งเมื่อปี 2563 KKV ได้เปิดสาขาที่เซ็นทรัลพาร์ค ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ศูนย์การค้าชื่อดังในอินโดนีเซียและได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ในขณะที่ร้าน The Colorist ซึ่งเปิดเมื่อปี 2562 ที่นครกว่างโจวและเมืองเซินเจิ้น ได้ขยายสาขาไปยังเมืองอื่น ๆ ทั่วจีน เช่น นครปักกิ่ง และนครฉางซา เป็นต้น โดยเมื่อปี 2563 มี 60 สาขาใน 20 เมืองในจีน
ธุรกิจค้าปลีกของ KK Group
โดยปรกติ บริษัทค้าปลีกมักดำเนินธุรกิจแบบแฟรนไชส์ซึ่งอาจทำให้ควบคุมแบรนด์ได้ยากและดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจได้ล่าช้า ขาดประสิทธิภาพและความสร้างสรรค์ เนื่องจากมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย เมื่อปี 2561 KK Group จึงปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยการเลิกประกอบธุรกิจแบบแฟรนไชส์ และหันมาดำเนินธุรกิจด้วยตนเองรวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจร่วมกับบริษัทอื่น (joint operationหรือ联营) ซึ่งเอื้อต่อการสร้างประสบการณ์แก่ลูกค้าและสร้างฐานลูกค้าประจำ โดยปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเมื่อปี 2563 มียอดจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 15 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาด คนทั่วไปรวมทั้งคน Gen Z ต้องอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ “ทำกับข้าวไม่เป็น” และ “อยากช็อปปิ้ง” กลายเป็นประโยคฮิตของคนกลุ่มนี้ KK Group ก็ได้ปรับประเภทสินค้าให้ตอบสนองความต้องการเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภค โดยได้จัดหมวดหมู่สินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ อาหารสำหรับทานคนเดียว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับดื่มคนเดียว และเครื่องสำอางที่เหมาะกับการแต่งหน้าเมื่อใส่หน้ากากอนามัย เป็นต้น ซึ่งเป็นการจัดประเภทสินค้าที่เข้าใจผู้บริโภคและช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้า อีกทั้งใช้การ Live เพื่อโปรโมตสินค้า ซึ่งวิธีการนำเสนอสินค้าของ KK Group สร้างความประหลาดใจและประสบการณ์แปลกใหม่แก่ผู้บริโภค ทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ดีและทันสมัย
ไม่นานมานี้ ศูนย์ BIC ได้ลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับผู้จัดการร้าน KKV สาขาถนนปักกิ่ง ซึ่งผู้จัดการร้านได้ให้ข้อมูลว่า สินค้าที่วางขายในร้านเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ เครื่องสำอาง อาหาร และเครื่องดื่ม ซึ่งลูกค้าของร้านจะอยู่ในช่วงอายุ 18 – 30 ปี โดยกลุ่มลูกค้าหลักของร้านคือวัยรุ่นที่เกิดในระหว่างปี ค.ศ. 2000 – 2010 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความประณีตและใส่ใจในประสบการณ์การใช้ชีวิต อีกทั้งนิยมถ่ายรูปเพื่ออัปลงโซเชียล และ Live เพื่อรีวิวความโดดเด่นของสินค้า ร้านจึงเลือกสินค้าที่มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก และรูปแบบบรรจุภัณฑ์ต้องมีความทันสมัย ประณีต สวยงาม แปลกใหม่ และดึงดูดความสนใจ รวมทั้งได้ตกแต่งร้านเพื่อให้เหมาะกับการเช็กอิน เช่น ตกแต่งเสาด้วยลูกกวาด ตกแต่งกำแพงด้วยฟองน้ำแต่งหน้าหลากสี และสร้างชั้นเก็บไวน์ที่มีความสูงเป็นเอกลักษณ์ เป็นต้น
อนึ่ง ผู้ประกอบการไทยที่ประสงค์จะขยายธุรกิจมายังจีนอาจให้ความสนใจผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ที่มีแนวโน้มจับจ่ายเพิ่มขึ้นและมีพฤติกรรมการบริโภคแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงอาจพิจารณาพฤติกรรมการบริโภคของคนกลุ่มนี้เพื่อวางแผนการประกอบธุรกิจในจีนที่เหมาะสม เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการโปรโมตสินค้า เป็นต้น
——————————
นางสาวสุวิชญา กีปทอง เขียน
28 มกราคม 2564
แหล่งที่มาของข้อมูล
https://www.kkguan.com/#/kkv
https://equalocean.com/news/2019102312108
https://www.incecap.com/news/detail/69
http://www.iheima.com/article-304778.html