“มณฑลกวางตุ้ง” แชมป์ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน ถอดรหัสการสร้าง ecosystem ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ตอนที่ 2 (จบ)
19 Dec 2023
โครงสร้างพื้นฐานอัดประจุไฟฟ้าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้ซื้อรถยนต์พลังงานใหม่พิจารณา ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกลางจีนและรัฐบาลท้องถิ่นเริ่มออกนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่นั้น รัฐบาลสนับสนุนทั้งผู้ผลิต ผู้ซื้อ และลงทุนในโครงการสถานอัดประจุไฟฟ้าอีกด้วย
โครงข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในจีน
สำนักข่าว THE STRAITSTIMES อ้างแหล่งข้อมูลจาก BloombergNEF ระบุว่า มณฑลกวางตุ้งมีจำนวนแท่นอัดประจุไฟฟ้ามากกว่าสหรัฐฯ ถึง 3 เท่า นับเป็นการตอกย้ำว่า มณฑลกวางตุ้งมีระดับการพัฒนา ecosystems ของยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอยู่ในระดับที่สูง โครงข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าคือหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจที่จะเลือกซื้อรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งปัจจุบัน มณฑลกวางตุ้งติดตั้งโครงข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ครอบคลุมและมีจำนวนแท่นอัดประจุไฟฟ้าที่มากที่สุดในจีน
เมื่อปี 2565 มณฑลกวางตุ้งมีจำนวนแท่นอัดประจุไฟฟ้า (charging piles) 535,058 แท่น หรือคิดเป็นร้อยละ 6.73 ของจำนวนแท่นอัดประจุไฟฟ้าทั้งหมดในจีน[1] ทิ้งห่างจากมณฑลเจียงซู ที่ครองอันดับที่สองมี 130,000 แท่น มณฑลเจ้อเจียง อันดับที่สาม 126,000 แท่น นครเซี่ยงไฮ้ อันดับที่สี่ 122,000 แท่น และกรุงปักกิ่ง อันดับที่ห้า 110,000 แท่น และมณฑลกวางตุ้งยังมีสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน 47 แห่ง มากที่สุดในจีนอีกด้วย

“รัฐ” กับบทบาทสำคัญ ผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle: NEV)
ภาครัฐนับเป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ให้พัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง รัฐบาลท้องถิ่นมณฑลกวางตุ้งได้ออกนโยบายสนับสนุนจำนวนมากเพื่อสร้างแนวทางการทำงานให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นระดับเมืองและระดับเขต
เมื่อปี 2549 แผนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ ถูกประกาศขึ้นครั้งแรกภายใต้แนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 11 (2549 – 2553) โดยได้กำหนดภารกิจในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์และส่งเสริมพลังงานใหม่ ซึ่งหน่วยงานระดับเมืองที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันออกมาตรการส่งเสริมที่ครอบคลุมทั้งผู้ผลิตและผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ลงทุนในโครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้า และโครงการที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่และล่าสุดเมื่อปี 2564 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2564 – 2568) ของมณฑลกวางตุ้งได้กำหนดแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ไปอีกขั้น โดยมุ่งพัฒนายานยนต์ให้เป็นอัจฉริยะมากขึ้น
โดยมาตรการที่ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งนับเป็นเรือธงของการส่งเสริมการพัฒนา NEV ของมณฑลกวางตุ้ง ได้แก่
(1) มาตรการมอบเงินอุดหนุน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังที่กล่าวข้างต้น ได้แก่
– เงินอุดหนุนผู้ซื้อ รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการมอบเงินอุดหนุนมาตั้งแต่ปี 2556 โดยมูลค่าเงินอุดหนุนสูงสุด คันละ 60,000 หยวน (8,375 ดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อปี 2559 อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนได้ประกาศว่าจะระงับมาตรการอุดหนุนภายในปี 2563 แต่ภายหลังได้ขยายเวลาไปถึงช่วงสิ้นปี 2565 อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน รัฐบาลท้องถิ่นต่างยังคงจัดสรรงบประมาณเพื่อมอบเป็นเงินอุดหนุนสูงสุดคันละประมาณ 15,000 หยวน (2,100 ดอลลาร์สหรัฐ)
– เงินอุดหนุนผู้ผลิต คำนวณเงินอุดหนุนจากปริมาณการผลิตและระยะทางการวิ่งต่อการอัดประจุไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง โดยรัฐบาลกลางจีนร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณเพื่อมอบเป็นเงินอุดหนุนแก่ผู้ผลิตรถยนต์ โดยในปี 2564 – 2565 บริษัท BYD ได้รับเงินอุดหนุนสูงที่สุดในจีน 4,984 ล้านหยวน บริษัท GAC อันดับที่ 4 ของจีน 1,077 ล้านหยวน และบริษัท XPENG อันดับที่ 6 ของจีน 580 ล้านหยวน
– เงินอุดหนุนผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มอบให้ผู้ที่ลงทุนโครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยคำนวนจากอัตราการอัดประจุไฟฟ้าสูงสุด 550 หยวน/กิโลวัตต์ นอกจากนี้ รัฐบาลมณฑลกวางตุ้งยังจัดสรรงบประมาณสูงสุดกว่า 5 ล้านหยวนเพื่อเป็นเงินอุดหนุนให้กับโครงการวิจัยและพัฒนาแพลต์ฟอร์มการให้บริการอัดประจุไฟฟ้าเมื่อปี 2561 และจัดสรรงบประมาณสูงสุดกว่า 1 ล้านหยวนเพื่อมอบให้แก่แพลต์ฟอร์มให้บริการอัดประจุไฟฟ้าระหว่าง 2562 – 2563
เมื่อปี 2565 มณฑลกวางตุ้งจัดสรรงบประมาณสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่มากที่สุดในจีน 5,873 ล้านหยวน (806 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 15.3 ของงบประมาณสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ทั้งหมดของจีน

(2) ยกเลิกการกำหนดโควตาป้ายทะเบียนรถยนต์สำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ จีนมีการกำหนดโควตาป้ายทะเบียนรถยนต์ส่วนบุคคล โดยผู้ที่ซื้อรถยนต์จะต้องซื้อป้ายทะเบียนต่างหาก ซึ่งปัจจุบัน ป้ายทะเบียนรถยนต์เมืองใหญ่ เช่น นครกว่างโจวราคา 10,500 หยวน (52,300 บาท) และเมืองเซินเจิ้นราคา 35,000 หยวน (174,487 บาท) หรือหากผู้ซื้อรถยนต์ไม่อยากจะเสียค่าใช้จ่ายจะต้องรอการจับฉลากป้ายทะเบียน แต่อาจต้องรอป้ายทะเบียนนานหลายเดือน ทั้งนี้ เมื่อปี 2561 รัฐบาลมณฑลกวางตุ้งประกาศยกเลิกการกำหนดโควตาสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการซื้อรถยนต์พลังงานใหม่ในมณฑลกวางตุ้งด้วย
และ (3) โครงการแลกรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเก่าแลกรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ รัฐบาลกลางจีนดำเนินโครงการรถเก่าแลกรถใหม่มาตั้งแต่ปี 2552 โดยมณฑลกวางตุ้งเป็นหนึ่งในมณฑลนำร่องโครงการ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะแก้ปัญหามลพิษที่เกิดจากรถยนต์ โดยส่งเสริมให้เปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ปล่อยมลพิษสูงให้เป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ปล่อยมลพิษต่ำ ซึ่งภายหลังโครงการดังกล่าวสนับสนุนให้เปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถยนต์พลังงานใหม่โดยมีเงินอุดหนุนให้สูงสุดประมาณ 10,000 หยวน และปัจจุบันยังคงดำเนินโครงการนี้ต่อไป

การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง นับเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียงกว่าทศวรรษ มณฑลกวางตุ้งได้ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนและมีแนวโน้มการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรหัสลับของกุญแจดอกนี้คือ “ภาครัฐ” ที่ผลักดันส่งเสริมและสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่อย่างรอบด้าน ความสำเร็จในปัจจุบันยังคงไม่เพียงพอต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในห้วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นทั่วโลก เป้าหมายต่อไปของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของมณฑลกวางตุ้งคือการยกระดับสู่ความเป็นอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L4 หรือรถบินได้ ศูนย์ BIC จะติดตามพัฒนาการต่อไปของอุตสาหกรรมยานยนต์ของมณฑลกวางตุ้งและนำมาเล่าให้ผู้อ่านรับทราบอีกครั้ง
สรศักดิ์ บุญรอด เขียน
[1] สถานะเมื่อเดือน ต.ค. 66 จีนมีจำนวนแท่นอัดประจุไฟฟ้า 7.95 ล้านแท่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565