กว่างซี’เปิดสู่ภายนอก’หนึ่งพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ One Belt One Road
16 Jun 2017ทำเลที่ตั้งเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้เขตฯ กว่างซีจ้วงเป็น ‘ข้อต่อ‘ สำคัญในกรอบยุทธศาสตร์ One Belt One Road ยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลจีนริเริ่มขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับนานาประเทศ โดยกำหนดให้กว่างซีเป็น ‘Gateway to ASEAN’
เหตุผลที่กล่าวว่า กว่างซีเป็น ‘ข้อต่อ‘ ของยุทธศาสตร์ One Belt One Road เนื่องจากกว่างซีเป็นเพียงเขตปกครองฯเดียวของจีนที่มีเส้นทางเชื่อมโยงกับอาเซียนในทุกมิติ (ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ)
ดังนั้น กว่างซีจึงเป็นตัวเชื่อมกรอบ ‘แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม‘ (Silk Road Economic Belt) ของมณฑลตอนในกับกรอบ ‘เส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21‘(21th Century Maritime Silk Road)ของอ่าวเป่ยปู้กว่างซี
ในการนี้ กว่างซีจึงเร่งดำเนินยุทธศาสตร์ ‘เปิดสู่ภายนอก‘(Opening up) เพื่อสนับสนุนการพัฒนายุทธศาสตร์One Belt One Roadยุทธศาสตร์ที่นำมาซึ่งโอกาสใหม่ของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ทุกมณฑลสามารถเข้าไปมีส่วนร่วม
กว่างซีกับเส้นทางสายไหมทางทะเล
อ่าวเป่ยปู้ หรืออ่าวตังเกี๋ย มีความเกี่ยวพันกับคำว่า ‘เส้นทางสายไหมทางทะเล‘ อย่างใกล้ชิด นับย้อนไปเมื่อ2,000 กว่าปีก่อนในสมัยราชวงศ์ฮั่น พื้นที่เหอผู่ (Hepu,合浦) เป็นหนึ่งในท่าเรือต้นทางของเส้นทางสายไหมทางทะเลที่ใช้ค้าขายกับพื้นที่เอเชียอาคเนย์ ต่อไปไกลถึงอินเดีย และศรีลังกา คำว่า ‘พื้นที่เหอผู่‘เป็นที่ตั้งอำเภอเหอผู่ของเมืองเป๋ยไห่(เมืองท่าเรือสำคัญที่ตั้งอยู่รอบอ่าวเป่ยปู้)ในปัจจุบัน
ภายใต้ข้อริเริ่มกรอบยุทธศาสตร์One Belt One Road เป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความร่วมมือด้านการท่าเรือของกว่างซี(จีน)กับอาเซียน ยกตัวอย่างเช่น
- การเข้าถือหุ้น 40% ของท่าเรือ Kuantan ในประเทศมาเลเซีย และได้รับสิทธิบริหารจัดการเป็นเวลา 60 ปีของกลุ่มบริษัท Guangxi Beibu Gulf International Port Group (广西北部湾国际港务集团)
- การรับช่วงบริหารจัดการท่าเรือ Muaraท่าเรือคอนเทนเนอร์ในประเทศบรูไนของกลุ่มบริษัท Guangxi Beibu Gulf International Port Group
- การลงนาม MOU ด้านการพัฒนาท่าเรือคอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศในอ่าวเป่ยปู้กว่างซีระหว่างกลุ่มบริษัท PSA International Pte Ltd ของประเทศสิงคโปร์กับกลุ่มบริษัท Guangxi Beibu Gulf International Port Group
อ่าวเป่ยปู้กับ Sea Highway ของการขนส่งทางทะเล
ท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้ (ท่าเรือฝางเฉิงก่าง ท่าเรือชินโจว และท่าเรือเป๋ยไห่) มีเส้นทางเดินเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่เป็นเส้นทางประจำทั้งหมด 35 เส้นทาง ครอบคลุมท่าเรือสำคัญในอาเซียน โดยมี ‘ท่าเรือชินโจว‘ เป็นศูนย์กลางภายใต้โมเดล 1 แกน 2 ปีก (ท่าเรือฝางเฉิงก่างเป็นปีกซ้ายและท่าเรือเป๋ยไห่เป็นปีกขวา)
กลุ่มบริษัท Guangxi Beibu Gulf International Port Group ผู้บริหารท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้มีการบูรณาการระบบงานขนส่งตู้คอนเทนเนอร์แบบด่วนระหว่างท่าเรือที่ตั้งอยู่รอบอ่าวเป่ยปู้ที่เรียกว่า‘เรือบัสคอนเทนเนอร์‘ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานขนส่งตู้สินค้าจากท่าเรือแห่งหนึ่งไปยังท่าเรืออีกแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงเกิดความสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ และทำให้การขนส่งถึงลูกค้าปลายทางมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น โดยท่าเรือเมืองชินโจวเป็น‘ท่าเรือชุมทาง‘
ปัจจุบัน ท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้กำลังเร่งผลักดันความเชื่อมโยงร่วมกับท่าเรือสำคัญ 47 แห่งในอาเซียน เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเมืองท่าของจีนกับอาเซียน ซึ่งนอกจากการพัฒนาความร่วมมือด้านการลงทุนในท่าเรือดังกล่าวข้างต้นแล้วนั้น การสถาปนาความสัมพันธ์ ‘ท่าเรือพี่น้อง‘ (sister port) นับเป็นอีกหนึ่งกลไกความร่วมมือที่สำคัญ ซึ่งท่าเรือเมืองชินโจวและท่าเรือแหลมฉบังของประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเจรจาความเป็นไปได้
ธุรกิจกว่างซีกับ ‘ทหารกองหน้า‘ของเส้นทางสายไหมทางทะเล
น้ำตาลกระสอบที่มีการนำเข้าทางเรือจากประเทศไทยถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างประเทศด้านกำลังการผลิต (production capacity) เพราะน้ำตาลเหล่านี้ผลิตจากอ้อยไทย แต่ใช้เทคโนโลยีจีน
กล่าวคือ กลุ่มบริษัท Guangxi Construction Group (广西建工集团) ได้เข้าไปสร้างโรงงานหีบอ้อยในประเทศไทยแล้ว จำนวน 3 แห่ง เครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตกว่าร้อยละ 95 มีการนำเข้ามาจากประเทศจีน เทคโนโลยีของจีนช่วยให้กระบวนการผลิตได้ผลผลิตน้ำตาลสูงและน้ำตาลที่ได้มีค่าความบริสุทธิ์สูง
กรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซียเป็น‘ฐานการผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือก‘ ของบริษัท SGMW (上汽通用五菱汽车股份有限公司) ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของเมืองหลิ่วโจว เขตฯ กว่างซีจ้วงโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตปีละ 1.5 แสนคัน คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในเดือนสิงหาคมศกนี้
ที่สำคัญ คือ การ ‘ก้าวออกไป‘ของบริษัท SGMWเป็นการกรุยทางให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีศักยภาพความพร้อมในการออกไปลงทุนยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่แสดงความพร้อมที่จะออกไปลงทุนจัดตั้งโรงงานร่วมกับบริษัท SGMW ในประเทศอินโดนีเซียแล้วเกือบ 20 ราย
นอกจากนี้ กว่างซียังมีการพัฒนากลไก ‘นิคมอุตสาหกรรม(พี่น้อง/ข้ามแดน)‘ เพื่อใช้เป็นแพลทฟอร์มส่งเสริมความร่วมมือด้านกำลังการผลิตและการลงทุนระหว่างประเทศ อาทิ นิคมอุตสาหกรรมจีน(ชินโจว)-มาเลเซีย เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจข้ามแดนจีน(กว่างซี)-เวียดนามเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าจีน(กว่างซี)-อินโดนีเซียนิคมอุตสาหกรรมจีน(ฉงจั่ว)-ไทย
การผลักดันความร่วมมือด้านกำลังการผลิตในเชิงลึกภายใต้ยุทธศาสตร์ One Belt One Road ได้ช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถแสดงศักยภาพ/ความได้เปรียบของตนเอง (ในลักษณะของการแบ่งงานกันทำ) อีกทั้งยังช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิต ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต และสร้างงานสร้างอาชีพให้กับท้องถิ่นอีกด้วย
กว่างซีกับ ‘จุดหมายการลงทุน‘ ที่หลายมณฑลหมายปอง
หลายปีมานี้ กว่างซีกำหนดบทบาทการพัฒนาของมณฑลเป็น ‘ข้อต่อ‘ ยุทธศาสตร์ของการพัฒนาและเปิดสู่ภายนอกระลอกใหม่ของพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้และพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาช่องทางการเปิดสู่ภายนอก (โดยเฉพาะท่าเรือ) และการพัฒนาความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมกับมณฑลต่างๆ
ปัจจุบัน ท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้ได้กลายเป็นช่องทางออกสู่ทะเลที่มีความสะดวกรวดเร็วที่สุดของมณฑลในภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคกลางตอนล่าง มูลค่าการนำเข้าส่งออกสินค้าผ่านด่านในเขตฯ กว่างซีจ้วงของ 5 มณฑลในภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคกลางตอนล่าง (ได้แก่ มณฑลเสฉวน นครฉงชิ่ง มณฑลยูนนาน มณฑลหูหนาน และมณฑลกุ้ยโจว) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยราวๆ ปีละ 30%
- มณฑลกุ้ยโจวใช้ท่าเรือฝางเฉิงก่างเพื่อการนำเข้าสินค้าคิดเป็นสัดส่วน 30%
- มณฑลหูหนานเข้ามาลงทุนจัดตั้งเขตนิคมอุตสาหกรรมและท่าเทียบเรือในท่าเรือชินโจว
- มณฑลยูนนานเข้ามาลงทุนจัดตั้งเขตนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้กว่างซี
- นครฉงชิ่ง และมณฑลเสฉวนทยอยร่วมลงนามสัญญาความร่วมมือกับกว่างซีเพื่อการพัฒนาสวนอุตสาหกรรมในพื้นที่เลียบชายฝั่งทะเลของกว่างซี
นอกจากนี้ กว่างซียังผลักดันยุทธศาสตร์ ‘แถบเศรษฐกิจแม่น้ำเพิร์ล-แม่น้ำซีเจียง‘ เพื่อเชื่อมโยงและดึงดูดความเจริญจากมณฑลกวางตุ้งโดยอาศัยแม่น้ำซีเจียง (สาขาใหญ่ของแม่น้ำเพิร์ล) รวมถึงลำน้ำสาขาที่มีความยาวรวมกว่า 5,800 กิโลเมตรและท่าเรือที่ตั้งอยู่เลียบฝังแม่น้ำซีเจียงมีศักยภาพรองรับงานขนส่งมากกว่าร้อยล้านตัน
|
แม่น้ำสายนี้เปรียบเสมืองสะพานเชื่อมนิคมอุตสาหกรรมรายน้อยใหญ่มากกว่า 50 แห่งใน 7 เมืองของกว่างซีที่แม่น้ำไหลพาดผ่าน และมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมเสาหลักเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วควบคู่กับเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้กว่างซี