โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรายใหญ่หรือรายย่อย การมาเริ่มทำธุรกิจในจีน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลักๆ ซึ่งมีประเด็นที่ต้องพิจารณาและเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน สรุปได้ดังนี้
การมาลงทุนในจีน (อุตสาหกรรมและภาคบริการ)
ในอดีต นักธุรกิจต่างประเทศมาลงทุนในจีนเพื่ออาศัย “แรงงานจีนราคาถูก” ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปขายยังตลาดของประเทศที่สาม แต่ปัจจุบัน จีนได้ก้าวข้ามยุคค่าแรงถูกของถูกไปแล้ว
การมาลงทุนในจีนในปัจจุบัน เป็นไปเพื่อขายหรือให้บริการในตลาดจีนเท่าๆ กับการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงหรือที่จีนมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตมาก่อน
ปัจจุบัน จีนให้ความสำคัญกับ
จีนกำลังตื่นตัวเป็นอย่างมากกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเสื่อมโทรมในหลายพื้นที่ ดังนั้น ปัจจุบัน ทางการจีนจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อกำจัดอุตสาหกรรมที่ล้าหลัง สิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ และก่อมลพิษ รวมถึงการแปรรูปสินแร่บางชนิด ในการนี้ ควรหลีกเลี่ยงการมาลงทุนในอุตสาหกรรมที่จะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในจีน
นอกจากอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมแล้ว สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการมาลงทุนในจีน คือ การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในเขตที่อยู่อาศัยหรือเขตการค้าหรือในเขตที่กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นเขตที่อยู่อาศัยหรือเขตการค้าในอนาคตอันใกล้ (อันจะนำมาซึ่งการถูกเวนคืนที่ดินที่ใช้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม) และการมาลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จำเป็นต้องมีการเวนคืนที่ดิน
ในปัจจุบัน โครงสร้างทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทยกับจีน มีส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกันในสัดส่วนที่สูง จึงมีพื้นที่ที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างกันอีกมาก โดยเฉพาะในด้านพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการแปรรูปอาหาร
เพื่อเร่งรัดให้พื้นที่ในภาคตะวันตกของจีนมีระดับการพัฒนาที่ทัดเทียมกับภาคตะวันออก ที่เปิดสู่ภายนอกมาก่อน ทางการจีนมีนโยบายพิเศษเพื่อส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันตก โดยเฉพาะหากเป็นการลงทุนในประเภทอุตสาหกรรมที่อยู่ในบัญชี “The Catalogue of Priority Industries for Foreign Investment in Central and Western Regions” (中西部地区外商投资优势产业目录)
กล่าวโดยสรุป ภายใต้นโยบายการลงทุนโดยคนต่างชาติ (Foreign Investment Industrial Guidance Catalog 2011 (外商投资产业指导目录) จีนแบ่งประเภทอุตสาหกรรมออกเป็น 4 บัญชี ได้แก่ บัญชีอนุญาต (ธุรกิจที่อนุญาตให้คนต่างชาติประกอบกิจการได้) บัญชี ส่งเสริม(ธุรกิจที่ได้รับมาตรการจูงใจให้ประกอบกิจการ) บัญชีจำกัดการลงทุน (ธุรกิจที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนของผู้ประกอบการต่างชาติ แต่ยังสามารถลงทุนได้) และบัญชีห้าม (ธุรกิจที่ไม่เปิดให้คนต่างชาติประกอบกิจการ) โดย 3 บัญชีแรก เป็นประเภทอุตสาหกรรมที่คนต่างชาติสามารถมาลงทุนได้
จีนเป็นประเทศกว้างใหญ่ ซึ่งแต่ละพื้นที่มีลักษณะเด่นที่เหมาะสมกับสาขาการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป อาทิ มหานครใหญ่ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้ กว่างโจวและปักกิ่ง ซึ่งประชาชนมีกำลังซื้อมาก เหมาะสมกับการลงทุนในภาคบริการ (เช่น ร้านอาหารและโรงแรม) มากกว่ามณฑลที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ ขณะที่มณฑลที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ มักจะมีค่าแรงที่ต่ำกว่าเมืองใหญ่ๆ จึงเหมาะสมกับการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตมากกว่า ในการนี้ การเลือกพื้นที่ลงทุนในจีนให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรคำนึงถึงลำดับต้นๆ (ดูรายละเอียด ข้อมูลจีนรายมณฑล)
เมื่อตัดสินใจจะมาลงทุนในจีนแล้ว ประเด็นต่อไปที่จะต้องพิจารณาคือ การหารูปแบบการจัดตั้งธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 รูปแบบ (ดูรายละเอียด รูปแบบการจัดตั้งธุรกิจ) ดังนี้
การนำสินค้าไทย (หรือจากประเทศที่สาม) มาขายในจีน
การค้าขายเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในการทำธุรกิจกับจีนและเป็นที่นิยมของธุรกิจต่างชาติ เนื่องจากธุรกิจไม่ต้องลงแรงมากดังเช่นการลงทุนตั้งโรงงานหรือสำนักงานในจีน และได้ผลเร็ว โดยเฉพาะหากสามารถทำตลาดและจับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม
ณ วันนี้ จีนมีชนชั้นกลางที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอย (และนิยมของ “แปลกใหม่” รวมถึงของจากต่างประเทศ) มากกว่า 300 ล้านคน และกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามนโยบาย urbanization ขณะเดียวกัน ก็มีเครือข่ายผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการค้ากว่า 240 ล้านคน โดยเฉพาะผ่านเว็บไซต์ Taobao ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรหาทางใช้ประโยชน์ทางการค้าจากช่องทางนี้
จากการที่ละครและภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้มาฉายในโทรทัศน์ของจีนในรอบหลายปีที่ผ่านมา กอปรกับในแต่ละปี มีชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวและศึกษาในไทยนับล้านคน ปัจจุบัน จึงมีกระแส “ความนิยมไทย” ในจีนเป็นอย่างมาก และกำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ซึ่งกระแสความนิยมไทยในจีนนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทั้งไทยสามารถนำมาต่อยอดให้กับการค้าสินค้าและบริการของไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ของที่ระลึก สปา ของแต่งบ้าน วัตถุมงคล ฯลฯ
จีนกับไทยมีข้อตกลงลดภาษีศุลกากร (Customs) ภายใต้กรอบ “เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน” ซึ่งเริ่มมีผลอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2553 ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 90 ของสินค้าที่ไทยและจีนค้าขายกันอยู่ ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีศุลกากร หากผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกขอใช้สิทธิ์นั้นตามขั้นตอน (“Form E”) ทั้งนี้ สำหรับท่านที่จะส่งออกสินค้ามายังจีน แม้จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีศุลกากร แต่ตามระบบของจีน สินค้าเกือบทุกชนิด รวมทั้งสินค้าเกษตร จะต้องชำระภาษีอีกร้อยละ 13 (สำหรับสินค้าไม่แปรรูป) และร้อยละ 17 (สำหรับสินค้าที่แปรรูปแล้ว) ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องจ่าย ณ ด่านที่นำเข้า
กล่าวโดยสรุป จีนแบ่งสินค้านำเข้าออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
หากประสงค์จะส่งสินค้ามาขายในจีน ต้องทำความรู้จักกับ “ผู้มีสิทธิ์นำเข้า” ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
“โครงสร้างการค้าของจีน” เป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึงในการวางแผนที่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจของตนเองในการนำสินค้าเข้าขายในจีน เนื่องจากในสินค้าหลายประเภท (เช่น ผลไม้และสินค้าเกษตรบางชนิด) มีโครงสร้างการค้าที่ค่อนข้างผูกขาดโดยผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ที่ตั้งอยู่ตามเมืองท่านำเข้าสำคัญๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า หากสามารถจับคู่ธุรกิจกับผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ของจีนได้ โอกาสในการนำสินค้าไทยของตนเองเข้าไปปักธงในจีนได้ ก็มีมากขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ดี การจับคู่ธุรกิจกับผู้กระจายสินค้ารายใหญ่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น การที่ฝ่ายไทยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพในการผลิตที่ยังไม่เป็นที่รับได้ และการที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถแบ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจกันได้อย่างลงตัว
การนำสินค้าเข้าสู่ตลาดจีน สามารถทำได้หลายรูปแบบและวิธีการ ซึ่งมีความยากง่ายและโอกาสในการประสบผลสำเร็จที่แตกต่างกันไป อาทิ
การนำสินค้าจีนไปขายในไทยหรือประเทศที่สาม
โดยที่จีนใช้ “การผลิตเพื่อส่งออก” เป็นนโยบายหลักในการพัฒนาประเทศมากว่า 30 ปี ดังนั้น ปัจจุบัน ควบคู่กับการเป็นตลาดนำเข้ารายใหญ่ จีนจึงเป็นฐานการผลิตและแหล่งส่งออกส่วนประกอบ และสินค้าสำเร็จรูปด้วย โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้าแฟชั่น ทั้งนี้ โดยในแต่ละพื้นที่ของจีน จะมีสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกที่แตกต่างกันออกไป
จีนอนุญาตให้ส่งออกสินค้าได้กว่าร้อยละ 90 ของสินค้าทั้งหมด ทั้งนี้ สินค้าที่ห้ามส่งออกหรือจำกัดการส่งออก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เช่น สินแร่หายาก สัตว์และซากสัตว์บางชนิด
ปัจจุบัน รูปแบบที่ผู้ประกอบการไทยนิยมใช้เพื่อนำเข้าสินค้าจากจีน แบ่งออกได้เป็น 2 แนวทาง คือ
กล่าวโดยสรุป ข้อควรระวังที่สำคัญในการนำสินค้าจากจีนออกไปยังไทยหรือประเทศที่สามคือ มาตรฐานและคุณภาพสินค้า ความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทน และการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการชำระเงิน (เช่น การเจาะระบบอีเมล์เพื่อหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ) ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากนโยบายลดภาษีศุลกากรระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ ก่อนการส่งออก ต้องไม่ลืมดำเนินการตามขั้นตอนการขอใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีศุลกากรด้วย
จีน เป็น “โอกาส” มากพอๆ กับที่่เป็น “ความท้าทาย”
ด้วยความที่มีขนาดใหญ่ และมีแนวโน้มการขยายตัวที่สูงและต่อเนื่อง ตลาดจีนจึงเป็น “โอกาส” ที่นักธุรกิจต่างชาติจับจ้องตาเป็นมัน อย่างไรก็ดี จากการศึกษาประสบการณ์ของบริษัทต่างชาติในจีนพบว่า จีนถือเป็น “ตลาดปราบเซียน” เนื่องด้วยมี “ความท้าทาย” นานาประการที่ต้องพึงรู้ พึงระวังในการวางแผนธุรกิจ และหาวิธีรับมือไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะประเด็นท้าทายดังต่อไปนี้
เมื่อท่านได้มีความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่ตลาดจีน ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) ยินดีที่จะก้าวไปพร้อมกับท่านด้วยการให้บริการข้อมูลและคำปรึกษาที่จะช่วยให้ท่านเริ่มต้นธุรกิจในจีนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ชี้ช่องทาง สร้างโอกาส พิชิตตลาดจีน”
เมื่อท่านได้มีความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่ตลาดจีน ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) ยินดีที่จะก้าวไปพร้อมกับท่านด้วยการให้บริการข้อมูลและคำปรึกษาที่จะช่วยให้ท่านเริ่มต้นธุรกิจในจีนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ชี้ช่องทาง สร้างโอกาส พิชิตตลาดจีน”
พร้อมแล้ว…เรามาเดินไปด้วยกัน!
“สนใจลงทุนในจีน” เป็นประเด็นที่ธุรกิจต่างชาติให้ความสนใจกันไม่น้อย แต่แล้วก็มักจะเกิดคำถามในใจว่า จีนอนุญาตให้วิสาหกิจต่างชาติจัดตั้งธุรกิจรูปแบบใดได้บ้าง? แต่ละรูปแบบธุรกิจมีข้อแตกต่างกันอย่างไร? แล้วรูปแบบไหนจึงจะเหมาะสมกับธุรกิจของตนเองมากที่สุด?
สำหรับ นักลงทุนที่สนใจเข้าทำธุรกิจในจีน ควรศึกษาว่ารัฐบาลจีนได้กำหนดให้วิสาหกิจต่างชาติสามารถจัดตั้งธุรกิจในจีน รูปแบบใดบ้าง ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติสามารถเลือกจดทะเบียนธุรกิจในจีนได้ 4 ประเภท คือ
“สำนักงานตัวแทน” เป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นตัวแทนของบริษัทแม่จากต่างประเทศในการ ประสานงานทางธุรกิจที่อยู่ในประเทศจีน การดำเนินงานในบริษัทสามารถประกอบกิจกรรมประเภทต่างๆ ดังนี้
1. การติดต่อประสานงาน
โดย เป็นตัวแทนในการติดต่องานที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าและบริการ รวมถึงการจัดซื้อ ซึ่งไม่สามารถแสวงหากำไรได้โดยตรง (เว้นแต่จะได้รับการยอมรับตามข้อตกลงนานาชาติ) โดยไม่สามารถออกใบแจ้งหนี้ (Invoice) ใบแจ้งราคา (Quotation) ในนามของสำนักงานตัวแทนเองได้ แต่ทำได้เพียงแค่เป็นผู้ติดต่อประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัท แม่เท่านั้น
2. การทำกิจกรรมด้านการตลาด
เช่น การวิจัยตลาด การจัดแสดงและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า/บริการของบริษัท เป็นต้น
“วิสาหกิจประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด” เป็นธุรกิจที่จัดตั้งโดยใช้เงินทุนจากชาวต่างชาติทั้งหมด (ลงทุน 100%) ซึ่งสามารถลงทุนในสายการผลิต การบริการ และการค้าในประเทศจีน รวมถึงยังสามารถขยายขอบเขตธุรกิจเพิ่มเติมได้ ธุรกิจในรูปแบบนี้ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก ด้วยปัจจัยที่สำคัญดังต่อไปนี้
“วิสาหกิจร่วมทุน” เป็นกิจการที่จัดตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติ (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลเดี่ยวหรือกลุ่ม) ร่วมกับหุ้นส่วนที่เป็นนิติบุคคลจีน โดยบริษัทร่วมทุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. บริษัทร่วมทุนแบบร่วมหุ้น (Equity Joint Venture)
เป็นการร่วมทุนระหว่างทุนจีนกับทุนต่างชาติที่มีการแบ่งส่วนของกำไรขาดทุน เท่าเทียมกันตามสัดส่วนของหุ้นที่มีร่วมกัน โดยทุนต่างชาติจะต้องมีไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนทุนที่จดทะเบียนทั้งหมด
2. บริษัทร่วมทุนแบบร่วมดำเนินงาน (Cooperative Joint Venture)
เป็นรูปแบบบริษัทธุรกิจต่างชาติที่มีความยืดหยุ่น โดยผู้ลงทุนชาวจีนและต่างชาติล้วนมีอิสระในการทำงานร่วมกัน และไม่จำเป็นต้องแบ่งกำไรขาดทุนตามสัดส่วนของการถือหุ้นที่มีร่วมกัน
“วิสาหกิจการค้าที่ลงทุนโดยต่างชาติ” หมายถึง กิจการที่เจ้าของเป็นต่างชาติทั้งหมด (WFOE) หรือกิจการร่วมทุน (JV) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการด้านการส่งออก-นำเข้า ตลอดจนการกระจายสินค้าภายในประเทศจีน โดยตั้งแต่ที่มีการเปิดเสรีด้านการค้าปลีกและกระจายสินค้าในจีนเมื่อปี 2547 เป็นต้นมา ทางการจีนได้อนุญาตให้วิสาหกิจการค้าของต่างชาติที่มาลงทุนในจีนสามารถ ประกอบกิจการได้ตามรายการต่อไปนี้
ประเภทกิจการ | สถานะทางกฏหมาย | จุดประสงค์ | ข้อดี | ข้อเสีย |
สำนักงานตัวแทน Representative office (RO) | ไม่มีสถานะทางกฏหมาย | – วิจัยตลาด – วางแผนการเข้ามาดำเนินการในอนาคต – ประสานงานอำนวยความสะดวกให้บริษัทแม่ | – ใช้เงินทุนจัดตั้งน้อย – มีความคล่องตัวในการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับการตลาดและการประสานงาน | – ไม่สามารถออกใบแจ้งหนี้สกุลเงินหยวนได้ – จะต้องจัดจ้างเจ้าหน้าที่ผ่านตัวแทนจัดหางานในท้องถิ่น |
กิจการประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด Wholly foreign-owned enterprise (WFOE) | จำกัดจำนวนหนี้ที่รับผิดตามกฏหมาย | – ผลิตสินค้า (สำหรับขายในจีนหรือส่งออก) – ให้บริการทางธุรกิจ | – เจ้าของเป็นต่างชาติทั้งหมด – สามารถดำเนินกิจกรรมตามขอบเขตธุรกิจได้ยืดหยุ่น – สงวนกรรมสิทธิ์ในด้านเทคโนโลยี และทรัพยสินทางปัญญาได้ – รักษาวัฒนธรรมองค์กรดั้งเดิม – สามารถโอนผลกำไรจากเงินสกุลหยวนกลับไปยังต่างชาติได้ | – ใช้เงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนตลอดโครงการ – ต้องสร้างยอดขายในตลาดจีนด้วยตัวเอง |
กิจการร่วมทุน Joint venture (JV) | จำกัดจำนวนหนี้ที่รับผิดตามกฏหมาย | – เพื่อเป็นไปตามข้อกำหนดที่ต้องมีคนท้องถิ่นถือหุ้นด้วย – เมื่อหุ้นส่วนท้องถิ่นยื่นข้อเสนอ ที่ลงตัวให้ได้ เช่น ผลกำไร ยอดขาย ช่องทางการกระจายสินค้า ฯลฯ | – สามารถต่อยอดโรงงานและแรงงานจากเดิมที่มีอยู่ได้ – สามารถต่อยอดช่องทางขายและกระจายสินค้าจากเดิมได้ | – การดำเนินงานล่าช้า – การปรับขยายสินทรัพย์หรือยอดขายร่วมกันระหว่างหุ้นส่วนที่อาจมีตัวเลขเกินจริงได้ – การถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันและการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกัน – ความเสี่ยงในการบริหารงานร่วมกัน |
วิสาหกิจการค้าที่ลงทุนโดยต่างประเทศ Foreign-invested commercial enterprise (FICE) | จำกัดจำนวนหนี้ที่รับผิดตามกฏหมาย | สำหรับกิจการประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมดหรือกิจการร่วมทุนที่ประกอบกิจการด้านการค้า การกระจายสินค้า และการค้าส่ง | – เอื้อต่อกิจการประเภทการค้าและการกระจายสินค้า | – ใช้เงินทุนจดทะเบียนสูง |
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ต้องการประกอบกิจการด้านการค้า การกระจายสินค้า และการค้าส่งในจีนแบบครบวงจร
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
หลัง จากที่ได้ทราบถึงความแตกต่างของรูปแบบธุรกิจที่ชาวต่างชาติจะสามารถเข้ามา จัดตั้งในจีน พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดจีนแล้ว ลำดับต่อไปคือการพิจารณาถึงปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคต ซึ่งจำเป็นจะต้องคำนึงตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินการจัดตั้งธุรกิจ อาทิ
การระบุขอบเขตกิจกรรมทางธุรกิจถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากธุรกิจที่จดทะเบียนในจีนจะสามารถดำเนินกิจการได้ตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ผู้จดทะเบียนธุรกิจจึงควรมั่นใจว่า ได้ระบุขอบเขตกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทไว้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต้องสามารถตรวจสอบได้จริงด้วย เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น
ทั้งนี้ ในระหว่างการยื่นจดทะเบียน แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะพิจารณาขอบเขตของธุรกิจจากเพียงเอกสารที่ระบุในเบื้อง ต้นและอนุมัติให้ แต่หลังจากที่ดำเนินกิจการแล้วก็จะมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานสรรพากรอย่าง ละเอียดในเอกสารใบยื่นขอจัดตั้งบริษัท ดังนั้น การ ระบุข้อความกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงภาษีหรือปิดบังสรรพากร จะทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหน้าได้
กฎหมาย จีนระบุว่า ทุนจดทะเบียนบริษัทขั้นต่ำอาจเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 หยวนสำหรับกิจการที่มีผู้ถือหุ้นร่วมหลายคน แต่หากเป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว ทุนจดทะเบียนจะเพิ่มเป็น 100,000 หยวน
ในทางปฏิบัติแล้ว ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่และประเภทของกิจการ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งอาจมีการดึงดูดให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามาตั้งกิจการ ด้วยการกำหนดเงินทุนจดทะเบียนขั้นต่ำที่ค่อนข้างน้อย เพื่อให้ได้จำนวนกิจการตามที่ได้วางแผนไว้ อย่างไรก็ดี ทุนจดทะเบียนบริษัทไม่ควรจะต่ำเกินไป เนื่องจากอาจมีสรรพากรท้องถิ่นและสรรพากรกลางเข้ามาตรวจดูความเหมาะสมเมื่อ ดำเนินธุรกิจไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น จึงควรระบุทุนจดทะเบียนขั้นต่ำตามความเหมาะสม โดยควรคำนึงถึงภาระหนี้ (ที่สามารถรับผิดชอบได้) ที่อาจการเกิดขึ้นระหว่างดำเนินกิจการด้วย
ทั้งนี้ จำนวนทุนจดทะเบียนบริษัทมากหรือน้อย นอกจากจะสะท้อนให้ทางการจีนมีความมั่นใจว่าธุรกิจที่จะจัดตั้งนั้นๆ มีความมั่นคงทางการเงินเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจหรือไม่แล้ว ยังจะสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของบริษัท ซึ่งคู่ค้ามักจะใช้ทุนจดทะเบียนบริษัทเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาก่อนตัดใจสิน เข้าร่วมทำธุรกิจด้วย
เงิน ทุนหมุนเวียนเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ในระหว่างเริ่มจัดตั้งธุรกิจใหม่ๆ เจ้าของกิจการอาจมีความกังวลว่าเงินทุนจดทะเบียนที่ใช้ยื่นขอจัดตั้งบริษัท อาจไม่เพียงพอ จึงมักนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ในมือเข้ามารวมเป็นเงินทุนที่จะจดทะเบียนด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจขาดเงินทุนหมุนเวียนในภายหลังได้
ทั้งนี้ การเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนค่อนข้างมีความยุ่งยากทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายดัง นั้น การนำเงินทุนหมุนเวียนในมือมากระทำการใดๆ จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
ข้อมูล ข้างต้นคงจะช่วยให้ท่านนักลงทุนไทยได้ทราบถึงประเภทธุรกิจที่ทางการ จีนอนุญาตให้วิสาหกิจต่างชาติสามารถจัดตั้งได้ โดยแต่ละประเภทล้วนมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากท่านสนใจจะก้าวสู่การลงทุนทำธุรกิจในจีนอย่างแท้จริงแล้ว ก็ควรพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ความพร้อมของธุรกิจตนเอง ก่อนตัดสินใจว่าควรจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดของจีน กอรปกับการที่จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้จีนมีตลาดใหญ่ภายในประเทศ อีกทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนด้วยนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้จีนกลายเป็นประเทศเป้าหมายสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งนักลงทุนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้ามาจัดตั้งบริษัทในจีนเพื่อนำสินค้าไทยเข้ามาจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าในจีน
ช่วงก่อนปี 2004 ภาคการค้าของจีนยังไม่ได้เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างเต็มที่ มีเพียงแต่เขตการค้าเสรีเท่านั้นที่มีการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ต่อมาเมื่อบริษัทเทรดดิ้งในจีนได้ถูกลดการควบคุมลง นักลงทุนต้างชาติก็เริ่มเข้ามาเป็นเจ้าของบริษัทเทรดดิ้งได้มากขึ้น ปัจจุบันชาวต่างชาติสามารถเข้ามาจัดตั้งธุรกิจประเภทนำเข้าส่งออกและเทรดดิ้งในจีนได้อย่างเสรี ขณะเดียวกันหลายกิจการก็ยังใช้บริการตัวแทนในการนำเข้า-ส่งออกอยู่ ซึ่งต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
นักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตให้จัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งในรูปแบบขององค์กรที่มีต่างชาติเป็นเจ้าของหรือร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวจีนได้ การจัดตั้งธุรกิจควรคำนึงถึงขอบเขตของธุรกิจที่ได้รับการอนุญาต (เช่นเดียวกับการระบุวัตถุประสงค์ของกิจการในการจัดตั้งบริษัทที่ไทย) ซึ่งจะต้องระบุกิจกรรมของบริษัท ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ค้าขายอย่างชัดเจน และเมื่อได้รับการอนุมัติแล้วจะมีการระบุชื่อผลิตภัณฑ์ไว้ในใบอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างชัดเจน ดังนั้นการระบุขอบเขตของบริษัทจึงควรครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และควรคำนึงเสมอว่าไม่ควรดำเนินกิจกรรมใด ๆ นอกขอบเขตของธุรกิจที่ได้รับมอบการอนุมัติไว้
ในการจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งจะต้องมีทุนจดทะเบียนเป็นของตนเองก่อนจึงจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ ทุนจดทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของเงินสด ทั้งนี้สามารถใช้ทุนจดทะเบียนในรูปแบบสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินสดแทนได้ ผู้ก่อตั้งกิจการจะต้องส่งรายงานความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจในท้องถิ่น เพื่อกำหนดแผนการลงทุน โดยสำนักงานพาณิชย์ในท้องถิ่นจะประเมินว่าจำนวนทุนจดทะเบียนที่ระบุมีความเหมาะสมกับการดำเนินการของบริษัทหรือไม่ การจัดตั้งบริษัทในจีนจึงไม่มีทุนจดทะเบียนที่แน่นอนแต่มาจากการอนุมัติที่ได้พิจารณาจากเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ทุนจดทะเบียนบริษัทสามารถชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียวหรือผ่อนชำระได้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจากต่างชาติควรศึกษากฏระเบียบในการลงทุนจัดตั้งบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่นควบคู่กับแนวปฏิบัติในการจัดตั้งธุรกิจของรัฐบาลกลางประกอบควบคู่กันไปด้วย
การจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งจะต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรก คือ การจัดเตรียมเอกสารจนไปถึงขั้นตอนสุดท้ายในการรับใบอนุญาตในประกอบธุรกิจ ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 4-5 เดือน เอกสารประกอบการจัดเตรียมทั้งหมดเป็นภาษาจีน ผู้ประกอบต่างชาติจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยจัดเตรียมเอกสารและดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อขออนุมัติในนามของตัวเอง (รายละเอียดขั้นตอนการจัดตั้งธุรกิจเทรดดิ้งในจีนจากเอกสารดาวน์โหลดด้านล่าง)
3.1 ภาษีสินค้า เมื่อธุรกิจมีการนำสินค้าเข้ามายังประเทศจีนในนามของตัวเองแล้วโดยทั่วไปจะต้องเสียภาษีนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และสินค้าบางรายการจะต้องเสียภาษีสรรพสามิต อัตราภาษีแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้า การจัดจำหน่ายสินค้าโดยทั่วไปจะต้องมีภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มรวมอยู่ด้วย
ภาษีนำเข้า ประเทศไทยและจีนมีข้อตกลงทางการค้าตามกรอบเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนที่มีผลให้สินค้าไทยหลายรายการที่ส่งออกจากไทยไปยังประเทศจีนก็ยกเว้นภาษีเสียภาษีนำเข้าเมื่อเข้าประเทศจีน และสินค้าจากจีนหลายรายการที่ส่งออกจากจีนไปยังไทยก็ยกเว้นภาษีนำเข้าของไทยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ยังมีสินค้าบางรายการที่ยังคงต้องเสียภาษีนำเข้าอยู่ (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหน้าเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ www.thaifta.com เลือก FTA China-ASEAN)
ภาษีมูลค่าเพิ่มจีนและอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าที่นำเข้าจีน สามารถคำนวณได้จากเว็บไซต์ทั่วไปหรือสอบถามได้ที่สำนักงานศุลกากรจีนในท้องถิ่น
3.2 ภาษีธุรกิจ
ตามกฎระเบียบในการจัดเก็บภาษีแล้ว ผู้ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องมีความรับผิดชอบในการชำระภาษีท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทเทรดดิ้งจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราร้อยละ 25 โดยคำนวณจากผลกำไร ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พนักงานบริษัทเทรดดิ้งจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเก็บภาษีตามอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ร้อยละ 3 – 45 ตามอัตราการประเมิน (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากคู่มือการจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งในจีน)
4.1 การตรวจสอบสินค้านำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศนำเข้ามายังประเทศจีนไม่เพียงแต่จะถูกควบคุมโดยศุลกากรจีนที่กำกับด้านอากรภาษีเท่านั้น ยังมีจากสำนักงานตรวจสอบควบคุมคุณภาพและกักกันโรคแห่งประเทศจีน (General Administration of Quality Supervision, Inspection and Quarantine of the People’s Republic of China: AQSIQ) ทำหน้าที่ตรวจสอบด้านสุขอนามัยอีกด้วย กระบวนการตรวจสอบสินค้านำเข้ามีความแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า ผู้เข้าหากนำเข้าในนามของตัวเองจำเป็นต้องตรวจสอบกฏระเบียบการนำเข้าจากหน่วยงานดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และจัดเตรียมเอกสารประกอบการนำเข้าก่อนส่งออกสินค้ามายังประเทศจีน
4.2 การขออนุญาตนำเข้า
สินค้าหลายรายการเป็นสินค้าที่ทางการจีนกำหนดให้ต้องมีการขออนุญาตก่อนนำเข้า หรือต้องได้รับสิทธิในการนำเข้า เช่น ต้องมีใบอนุญาตการนำเข้า หรือได้รับจัดสรรโควต้าจำนวนที่นำเข้าก่อน ดังนั้นก่อนการนำเข้าควรตรวจสอบจากหน่วยงานจีนที่เกี่ยวข้องก่อน
4.3 การปิดฉลากและบรรจุภัณฑ์ของสินค้า
สินค้าที่นำเข้าเกือบทุกชนิดควรจะติดสลากและห่อบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม และควรปฎิบัติตามคำแนะนำของจีนเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านฉลากที่หน่วยงานจีนได้กำหนดไว้
การนำเงินลงทุนจากต่างประเทศมาเพื่อใช้ก่อตั้งกิจการครั้งแรกอยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (State Administration of Foreign Exchange: SAFE) ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบก่อนการเคลื่อนย้ายเงินมาลงทุนในประเทศจีน รวมทั้งการชำระเงินตราต่างประเทศ หากนำเข้าสินค้าเข้ามาในจีนจะต้องชำระเงินในสกุลต่างประเทศ ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบการชำระเงินตราต่างประเทศโดยสำนักบริหารเงินตราต่างประเทศก่อน สำหรับการโอนเงินออกนอกประเทศ บริษัทต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในจีน หลังจากที่ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว บริษัทเทรดดิ้งจะต้องเขียนใบคำขอโอนเงิน พร้อมใบเสร็จที่แสดงการเสียภาษีต่อสำนักบริหารเงินตราระหว่างประเทศ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วธนาคารจึงจะสามารถดำเนินการโอนเงินออกไปได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
บริษัทต่างชาติสามารถจ้างชาวต่างชาติหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อปฎิบัติงานได้ภายใต้จำนวนที่ต้องขออนุมัติจากสำนักงานแรงงานท้องถิ่น เมื่อมีการจ้างงานชาวจีน นายจ้างจะต้องจ่ายเงินเข้าโครงการประกันสังคมให้กับพนักงานชาวจีน ซึ่งครอบคลุมในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น บำนาญและค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้ ในบางพื้นที่พนักงานชาวต่างชาติถูกกำหนดให้ต้องเข้าโครงการประกันสังคมด้วยเช่นกัน
การขอวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติ
การขอวีซ่าการทำงานของลูกจ้างชาวต่างชาติจะต้องใช้จดหมายเชิญเข้าทำงานที่ได้รับจากนายจ้างซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการขอใบอนุญาตทำงานสามารถขอได้จากสำนักแรงงานท้องถิ่น และการขอใบอนุญาตพำนักอาศัยสามารถขอได้จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำกรมรักษาความสงบภายใน ในท้องถิ่น ( Entry – Exit Administrative Service Center, Public Security Bureau, 公安局出入境管理分局)
กิจการธุรกิจเทรดดิ้งควรมีสำนักงานเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเช่าหรือซื้อก็ได้โดยจะต้องมีสัญญาเช่าที่ถูกต้อง หรือการเป็นการซื้อจะต้องมีใบรับรองความเป็นเจ้าของเป็นหลักฐาน โดยที่อยู่อย่างเป็นทางการที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าจะต้องระบุลงในใบอนุญาตประกอบการที่ได้จดทะเบียนไว้ตรงกันด้วย การเลือกสำนักงานควรเป็นอาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ในย่านการพาณิชย์ไม่ใช่ย่านอาคารที่พักอาศัย และที่อยู่ควรเป็นที่อยู่อย่างเป็นทางการของบริษัทเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ที่อยู่จดทะเบียนรวมกันกับกิจการอื่นได้
การจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งเพื่อขายสินค้าไทยในจีนหรือนำเข้าสินค้าจากจีน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นสำนักงานที่ปรึกษากฏหมายหรือสำนักงานบัญชีมืออาชีพในท้องถิ่นเพื่อยื่นเรื่องขอจัดตั้งกิจการได้ ความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในคู่มือจัดตั้งธุรกิจเทรดดิ้งในจีน
อาหารไทยนับเป็นหนึ่งในอาหารต่างชาติที่ได้รับความนิยมในจีน ส่วนใหญ่จะมีเจ้าของผู้ลงทุนเป็นชาวจีนและฮ่องกง โดยมีการจ้างพ่อครัวชาวไทยเป็นผู้ดูแลด้านอาหาร ปัจจุบันหัวเมืองใหญ่ ๆ ของจีนที่ประชาชนมีกำลังการบริโภคสูงต่างก็มีร้านอาหารไทยเปิดให้บริการขึ้นจำนวนมาก รวมถึงมีธุรกิจไทยด้านเครื่องปรุงอาหารไทยที่เข้ามาบุกเบิกตลาดในจีนแล้วเช่นกัน อาทิ ง่วนสูน ทั้งนี้ กฎระเบียบของจีนในปัจจุบันเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนและดำเนินธุรกิจร้านอาหารได้ โดยขั้นตอนการเปิดร้านอาหารไทยในมณฑล/เมืองนั้น ๆ โดยสรุป แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
1. ยื่นขอ ชื่อที่จะใช้จดทะเบียนธุรกิจ (Apply for A Company Name) ณ สำนักบริหารอุตสาหกรรมและพาณิชย์ในท้องที่ (Administration for Industry and Commerce, 工商行政管理局) โดยทั่วไป ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
2. ยื่นขอ การก่อตั้งกิจการโดยทุนต่างชาติ (Apply for Establishment of Foreign-funded Enterprise) ณ สำนักงานพาณิชย์ในท้องที่ (Commerce Bureau, 商务局) ใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 90 วันทำการ
3. ยื่นขอ ใบอนุญาตการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Examination and Approval) ณ สำนักงานสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น (Environmental Protection Bureau, 环保局) ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์
4. ยื่นขอ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจบริการร้านอาหาร (Apply for Food Service Permit, 餐饮服务许可证) ณ สำนักงานกำกับอาหารและยาในท้องถิ่น (Local Food and Drug Administration, 食品药品监督管理局) ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
5. ยื่นขอ ใบอนุญาตการป้องกันอัคคีภัย (Fire Protection Registration) ณ สำนักงานดับเพลิงท้องถิ่น (Fire Department, 消防局) ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
6. ยื่นขอ ใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ (Apply for Business License, 营业执照) ณ สำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ในท้องถิ่นของเขตที่ร้านจะตั้งอยู่ ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
1. ยื่นขอ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (Tax Registration) ณ สำนักงานภาษีท้องถิ่น (Local Taxation Administration, 地方税务局)
2. ยื่นขอ ใบทะเบียนเลขประจำตัวนิติบุคคล (Code Allocation to Organization Certificate – 组织机构代码证) ณ สำนักงานควบคุมคุณภาพและเทคโนโลยีท้องถิ่น (Quality and Technology Supervision Bureau, 质量技术监督局)
3. ยื่นจดทะเบียนขออนุญาตเปิดบัญชีธนาคาร (Permit for Opening Bank Account) ณ ธนาคารประชาชนจีน (The People’s Bank of China -中国人民银行) ประจำท้องที่
4. ยื่นจดทะเบียนสถิติ (Statistics Registration) ณ สำนักงานสถิติท้องถิ่น
5. ยื่น ขออนุญาตทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Registration) ณ สำนักงานปริวรรตเงินตราระหว่างประเทศประจำท้องถิ่น (Foreign Exchange Supervision Bureau, 外汇管理局)
6. ยื่น จดทะเบียนประกันสังคมและแรงงาน (Labor and Social Security Registration, 劳动和社会保障登记证) ณ สำนักงานแรงงานและประกันสังคมประจำท้องถิ่น (Labor and Social Security Bureau, 劳动和社会保障局)
7. ลงทะเบียนตรวจสุขภาพและขอรับใบรับรองการอบรมของพนักงาน (Health and Hygiene Examination) ณ สำนักงานตรวจสอบและกักกันโรค (CIQ) ท้องถิ่น
8. ยื่นจดทะเบียนผู้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol Permit Registration) ณ สำนักงานพาณิชย์ท้องถิ่น หากจะขายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ภายในร้านด้วย
9. ยื่นเรื่อง ขออนุญาตขอจ้างแรงงานต่างด้าว (Employment of Foreigner Permit) ณ สำนักงานแรงงานในท้องถิ่น เพื่อดำเนินการยื่นเรื่องขอเชิญพ่อครัวและแม่ครัวไทยเข้ามาทำงานในร้าน
ปัจจุบันจีนได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่จีนเริ่มเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก จีนได้มีพัฒนาการที่เห็นได้ชัดในทางเศรษฐกิจ อีกทั้งอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่าเศรษฐกิจของจีนก้าวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รวมถึงเป็นตลาดนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งได้มีการค้าขายกับจีนมาตั้งแต่อดีต และจีนก็เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ทำให้มีนักลงทุนจากไทยมาลงทุนและทำธุรกิจในจีนเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงในด้านการนำเข้าส่งออกเท่านั้น ด้านธุรกิจบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการการท่องเที่ยวและสปาที่มีชื่อเสียงของไทยก็ได้รับการยอมรับจากชาวจีนจนมีชื่อเสียงอย่างเด่นชัด
การจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีน เริ่มเป็นที่แพร่หลายและนิยมมากขึ้นภายในหมู่คนจีน เนื่องจากเป็นการบริการการนวดเพื่อผ่อนคลายและมีผลเพื่อบำรุงความงาม ซึ่งเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์เสน่ห์ของความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน ชาวจีนที่ได้สัมผัสการบริการสปาแบบไทยในจีนมีจำนวนไม่น้อยนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติจึงให้ความสนใจเปิดธุรกิจสปาไทยในจีนเพื่อรองรับความต้องการของชาวจีนที่มีอยู่ การจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีนของผู้ประกอบการจากไทย มีข้อควรคำนึงที่สำคัญ ดังนี้
นักลงทุนต่างชาติต้องจัดตั้งธุรกิจสปาในรูปแบบตามที่จีนกำหนดภายใต้บริษัทร่วมทุน (Joint Venture) หรือ บริษัทต่างชาติ (Whole Foreign Oriented Enterprise) นักลงทุนชาวต่างชาติสามารถที่จะตัดสินใจเลือกรูปแบบการลงทุนได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของแผนดำเนินการธุรกิจที่ได้ตั้งไว้
นักลงทุนต่างชาติที่จะจัดตั้งธุรกิจสปาในจีนนั้นควรที่จะสมัครเป็นธุรกิจตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้โดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จีนกำหนด โดยขอบเขตในการจัดตั้งธุรกิจสปานั้นเป็นการกำหนดความต้องการในการบริการ หรือ ขอบเขตของการบริการที่ครอบคลุม โดยในครั้งแรกจะได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ ซึ่งควรตระหนักไว้ว่าการจัดตั้งธุรกิจสปานั้นไม่ควรทำนอกเหนือขอบเขตที่จีนได้กำหนดไว้
ธุรกิจสปาไทยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากหน่วยงานจีนในเดียวกันกับกิจการประเภทสถานเสริมความงาม ซึ่งครอบคลุมไปถึงการดูแลเล็บ การทำเลเซอร์หรือทรีทเมนต์ รวมทั้งการสร้างการบริการต่าง ๆ ในปัจจุบันจึงยังไม่มีขอบเขตกิจกรรมทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการจัดตั้งธุรกิจสปาของต่างชาติในประเทศจีน
การจัดตั้งธุรกิจสปาจะต้องมีทุนจดทะเบียนเป็นของตนเองก่อนจึงจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ ทุนจดทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของเงินสด ทั้งนี้สามารถใช้ทุนจดทะเบียนในรูปแบบสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินสดแทนได้ ผู้ก่อตั้งกิจการจะต้องส่งรายงานความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจในท้องถิ่น เพื่อกำหนดแผนการลงทุน โดยสำนักงานพาณิชย์ในท้องถิ่นจะประเมินว่าจำนวนทุนจดทะเบียนที่ระบุมีความเหมาะสมกับการดำเนินการของบริษัทหรือไม่ การจัดตั้งบริษัทในจีนจึงไม่มีทุนจดทะเบียนที่แน่นอนแต่มาจากการอนุมัติที่ได้พิจารณาจากเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ทุนจดทะเบียนบริษัทสามารถชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียวหรือผ่อนชำระได้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจากต่างชาติควรศึกษากฏระเบียบในการลงทุนจัดตั้งบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่นควบคู่กับแนวปฏิบัติในการจัดตั้งธุรกิจของรัฐบาลกลางประกอบควบคู่กันไปด้วย
ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทสปาต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานจีนที่เกี่ยวข้อง เริ่มจากการได้รับหนังสือรับรองและใบอนุญาตประกอบธุรกิจจากรัฐบาล ขั้นตอนทั้งหมดใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 5 – 6 เดือน โดยจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่ทางการจีนได้กำหนดไว้ทีละขั้นตอน
ภาษีธุรกิจ รายได้จากการบริการของบริษัทสปาทั่วไปต้องเสียภาษีร้อยละ 5 โดยคำนวณจากรายได้ขั้นพื้นฐานของบริษัท ผู้เสียภาษีจะต้องเสียภาษีให้กับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นโดยจะคิดจากรายได้โดยรวม โดยจำนวนภาษีจะแบ่งเป็นประเภทตามที่ได้กำหนดไว้
ภาษีเงินได้นิติบุคคล การดำเนินการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทสปาโดยทั่วไปมีอัตราขั้นพื้นฐานร้อยละ 25 สำหรับธุรกิจขนาดเล็กร้อยละ 20 การเก็บภาษีจะคำนวณจากกำไรประจำปีของบริษัท โดยจะมีการเก็บข้อมูลทุก ๆ 3 เดือน
ภาษีเงินได้ส่วนบุคคล พนักงานของบริษัท และนักลงทุนต่างชาติต้องเสียภาษีภายใต้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ โดยจะเก็บจากรายได้รายเดือนโดยอัตราเริ่มตั้งแต่ร้อยละ 3 ถึงร้อยละ 45
การนำเงินลงทุนจากต่างประเทศมาเพื่อใช้ก่อตั้งกิจการครั้งแรกอยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (State Administration of Foreign Exchange: SAFE) ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบก่อนการเคลื่อนย้ายเงินมาลงทุนในประเทศจีน รวมทั้งการชำระเงินตราต่างประเทศ หากนำเข้าสินค้าเข้ามาในจีนจะต้องชำระเงินในสกุลต่างประเทศ ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบการชำระเงินตราต่างประเทศโดยสำนักบริหารเงินตราต่างประเทศก่อน สำหรับการโอนเงินออกนอกประเทศ บริษัทต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในจีน หลังจากที่ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจสปาจะต้องเขียนใบคำขอโอนเงิน พร้อมใบเสร็จที่แสดงการเสียภาษีต่อสำนักบริหารเงินตราระหว่างประเทศ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วธนาคารจึงจะสามารถดำเนินการโอนเงินออกไปได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
บริษัทต่างชาติสามารถจ้างชาวต่างชาติหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อปฎิบัติงานได้ภายใต้จำนวนที่ต้องขออนุมัติจากสำนักงานแรงงานท้องถิ่น อย่างไรก็ตามวีซ่าการทำงานในภาคบริการ ถ้าแรงงานในกลุ่มงานของภาคบริการนั้น ๆ ไม่จัดอยู่ในประเภทแรงงานขาดแคลนของของจีน จีนก็จะไม่ทำการอนุญาตวีซ่าให้ ปัจจัยในการพิจารณาอนุมัติขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละท้องถิ่นซึ่งยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนในปัจจุบัน
การขอวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติ
การขอวีซ่าการทำงานของลูกจ้างชาวต่างชาติจะต้องใช้จดหมายเชิญเข้าทำงานที่ได้รับจากนายจ้างซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการขอใบอนุญาตทำงานสามารถขอได้จากสำนักแรงงานท้องถิ่น และการขอใบอนุญาตพำนักอาศัยสามารถขอได้จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำกรมรักษาความสงบภายใน ในท้องถิ่น ( Entry – Exit Administrative Service Center, Public Security Bureau, 公安局出入境管理分局)
ธุรกิจสปาไทยในจีนควรมีสถานประกอบการเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเช่าหรือซื้อก็ได้โดยจะต้องมีสัญญาเช่าที่ถูกต้อง หรือการเป็นการซื้อจะต้องมีใบรับรองความเป็นเจ้าของเป็นหลักฐาน โดยที่อยู่อย่างเป็นทางการที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าจะต้องระบุลงในใบอนุญาตประกอบการที่ได้จดทะเบียนไว้ตรงกันด้วย และที่อยู่ควรเป็นที่อยู่อย่างเป็นทางการของบริษัทเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ที่อยู่จดทะเบียนรวมกันกับกิจการอื่นได้
การจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นสำนักงานที่ปรึกษากฏหมายหรือสำนักงานบัญชีมืออาชีพในท้องถิ่นเพื่อยื่นเรื่องขอจัดตั้งกิจการได้ ความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในคู่มือจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีน
ประเทศจีน เป็นประเทศที่มีความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์และขนาดของประชากร ประกอบกับมีการวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดีจึงช่วยปูพื้นฐานให้เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งขึ้นจนกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก โดยในปัจจุบัน รัฐบาลจีนมีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ในการลงทุนมากขึ้น จึงทำให้นักลงทุนจากต่างชาติเริ่มให้ความสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจในจีนมากขึ้น ซึ่งธุรกิจโรงพยาบาลก็เป็นหนึ่งในประเภทธุรกิจที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมการลงทุนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 12 ในปัจจุบัน
ประเทศจีนเริ่มเปิดกว้างสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลและลดการควบคุมการลงทุนจากต่างประเทศลง หลังจากเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในปี 2001 อย่างไรก็ตาม การเปิดเสรีของธุรกิจในภาคส่วนนี้ยังไม่ได้เปิดกว้างอย่างเต็มที่ การจัดตั้งธุรกิจยังมีข้อบังคับให้จำเป็นต้องมีหุ้นส่วนธุรกิจเป็นชาวจีน จนเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมาธุรกิจโรงพยาบาลได้ถูกถอนออกจากรายการการลงทุนจากต่างประเทศที่ต้องควบคุม จึงทำให้นักลงทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันสามารถจัดตั้งธุรกิจโรงพยาบาลโดยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวได้ ขณะที่นักลงทุนจากประเทศอื่น ๆ ยังมีความจำเป็นต้องจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบบริษัทร่วมทุนกับชาวจีนอยู่ แม้ว่านโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะมีแนวคิด การผ่อนคลายกฏระเบียบข้อบังคับการเข้ามาลงทุนกิจการด้านการรักษาพยาบาลมากขึ้นแล้วก็ตาม
นักลงทุนที่มาจากประเทศอื่น นอกเหนือจากฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน จะต้องจัดตั้งกิจการด้านการรักษาพยาบาลในรูปแบบบริษัทร่วมทุนระหว่างชาวจีนกับชาวต่างชาติ ได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) กิจการการร่วมทุน (Equity Joint Venture) และ 2. กิจการแบบร่วมดำเนินงาน (Cooperative Joint Venture) โดยผู้ร่วมลงทุนทั้งสองฝ่ายทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามที่หน่วยงานจีนได้กำหนดไว้
การลงทุนในสถาบันการแพทย์โดยชาวต่างชาติจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาสถาบันทางการแพทย์ของส่วนท้องถิ่นที่สถาบันแห่งนั้นได้ตั้งอยู่ โดยจะต้องมีที่ปรึกษาการจัดตั้งที่มีประสบการณ์หรือที่ปรึกษาด้านกฏหมายเข้ามาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตและจัดตั้งกับหน่วยงานท้องถิ่น
ขอบเขตของธุรกิจที่ธุรกิจรักษาพยาบาลจะสามารถกระทำได้ จะต้องได้รับการอนุมัติและระบุไว้ในใบอนุญาตประกอบธุรกิจ การกระทำที่ไม่ได้ระบุไว้ธุรกิจรักษาพยาบาลจะไม่สามารถดำเนินการได้ 4. ข้อกำหนดด้านเงินลงทุน
ธุรกิจรักษาพยาบาลที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติ จะต้องมีทุนจดทะเบียน ซึ่งฝากไว้ในบัญชีธนาคารของจีน โดยผู้ลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินทุนจดทะเบียนได้ภายใต้ข้อกำหนดที่ระบุไว้ และสามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินทุนจดทะเบียนได้ตามความสะดวก ซึ่งแต่ละวิธีจะกำหนดระยะเวลาในการชำระที่แน่นอน
หากธุรกิจรักษาพยาบาลได้รับอนุญาตให้สามารถกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อจุดประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ ปริมาณเงินกู้ระหว่างประเทศที่ธุรกิจรักษาพยาบาลสามารถกู้ยืมได้จะต้องต่ำกว่าจำนวนเงินทุนที่ได้จดทะเบียนไว้
ขั้นตอนในการจัดตั้งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นโดยจะต้องติดต่อทีละหน่วยงาน ทำให้ระยะเวลาในการดำเนินการจะประมาณ 7-8 เดือน ซึ่งธุรกิจรักษาพยาบาลจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติให้เรียบร้อยทุกขั้นตอนก่อนจึงจะสามารถเริ่มดำเนินการได้
ภาษีธุรกิจ ธุรกิจรักษาพยาบาลทั้งที่หวังผลกำไรและมิได้หวังผลกำไร จะได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีธุรกิจ โดยจะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีก่อน
ภาษีท้องถิ่น ภาษีท้องถิ่นจะมีอัตราตามท้องถิ่นที่สถาบันทางการแพทย์ตั้งอยู่
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจรักษาพยาบาลจะต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 25 ยกเว้นธุรกิจรักษาพยาบาลประเภทมิได้หวังผลกำไรที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษี
ภาษีรายได้ส่วนบุคคล ภาษีรายได้ส่วนบุคคลจัดเก็บเป็นรายเดือน โดยหักจากเงินเดือนที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้รับจากสถาบันทางการแพทย์ ซึ่งอัตราภาษีจะอยู่ระหว่างร้อยละ 3-45 ตามข้อกำหนดปลีกย่อย
การแลกเปลี่ยนเคลื่อนย้ายเงินตราข้ามพรมแดนระหว่างประเทศจะถูกตรวจสอบและดูแลโดยสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (State Administration of Foreign Exchange: SAFE) ซึ่งกิจกรรมระหว่างประเทศส่วนมาก สามารถกระทำได้โดยปราศจากการควบคุม ยกเว้นการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่จำเป็นจะต้องมีการดำเนินการพิเศษเพิ่มเติม
8.1 ข้อบังคับในคุณสมบัติของนักปฏิบัติการทางการแพทย์จากต่างประเทศ
นักปฏิบัติการทางการแพทย์จากต่างประเทศ จะสามารถให้บริการทางการแพทย์ในจีนได้หากมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ โดยคุณสมบัติที่จำเป็น จะแตกต่างไปตามประเภทของนักปฏิบัติการทางการแพทย์
8.2 ความรับผิดชอบต่อสวัสดิการสังคมของลูกจ้างท้องถิ่น
ธุรกิจรักษาพยาบาลในฐานะนายจ้าง จะต้องจัดตั้งกองทุนสวัสดิการสังคมแก่ลูกจ้างท้องถิ่นชาวจีน โดยอัตราในการจัดตั้งเงินกองทุนนี้จะขึ้นอยู่กับเมืองที่สถาบันทางการแพทย์ตั้งอยู่
8.3 การขอวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติ
การขอวีซ่าการทำงานของลูกจ้างชาวต่างชาติจะต้องใช้จดหมายเชิญเข้าทำงานที่ได้รับจากนายจ้างซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการขอใบอนุญาตทำงานสามารถขอได้จากสำนักแรงงานท้องถิ่น และการขอใบอนุญาตพำนักอาศัยสามารถขอได้จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำกรมรักษาความสงบภายใน ในท้องถิ่น ( Entry – Exit Administrative Service Center, Public Security Bureau, 公安局出入境管理分局)
ธุรกิจรักษาพยาบาลที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติ จะต้องมีสถานประกอบการเป็นของตนเอง โดยอาจเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นที่ตั้งในการจดทะเบียนและสถานที่ในการปฏิบัติการโดยขนาดพื้นที่ของสถานประกอบการจะขึ้นอยู่กับประเภทของสถาบันทางการแพทย์ที่จัดตั้ง
ธุรกิจรักษาพยาบาลในจีน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นสำนักงานที่ปรึกษากฏหมายมืออาชีพในท้องถิ่นเพื่อยื่นเรื่องขอจัดตั้งกิจการในนามของผู้ลงทุนได้ ความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในคู่มือจัดตั้งธุรกิจรักษาพยาบาลในจีน
โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรายใหญ่หรือรายย่อย การมาเริ่มทำธุรกิจในจีน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลักๆ ซึ่งมีประเด็นที่ต้องพิจารณาและเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน สรุปได้ดังนี้
การมาลงทุนในจีน (อุตสาหกรรมและภาคบริการ)
ในอดีต นักธุรกิจต่างประเทศมาลงทุนในจีนเพื่ออาศัย “แรงงานจีนราคาถูก” ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปขายยังตลาดของประเทศที่สาม แต่ปัจจุบัน จีนได้ก้าวข้ามยุคค่าแรงถูกของถูกไปแล้ว
การมาลงทุนในจีนในปัจจุบัน เป็นไปเพื่อขายหรือให้บริการในตลาดจีนเท่าๆ กับการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงหรือที่จีนมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตมาก่อน
ปัจจุบัน จีนให้ความสำคัญกับ
จีนกำลังตื่นตัวเป็นอย่างมากกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเสื่อมโทรมในหลายพื้นที่ ดังนั้น ปัจจุบัน ทางการจีนจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อกำจัดอุตสาหกรรมที่ล้าหลัง สิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ และก่อมลพิษ รวมถึงการแปรรูปสินแร่บางชนิด ในการนี้ ควรหลีกเลี่ยงการมาลงทุนในอุตสาหกรรมที่จะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในจีน
นอกจากอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมแล้ว สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการมาลงทุนในจีน คือ การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในเขตที่อยู่อาศัยหรือเขตการค้าหรือในเขตที่กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นเขตที่อยู่อาศัยหรือเขตการค้าในอนาคตอันใกล้ (อันจะนำมาซึ่งการถูกเวนคืนที่ดินที่ใช้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม) และการมาลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จำเป็นต้องมีการเวนคืนที่ดิน
ในปัจจุบัน โครงสร้างทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทยกับจีน มีส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกันในสัดส่วนที่สูง จึงมีพื้นที่ที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างกันอีกมาก โดยเฉพาะในด้านพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการแปรรูปอาหาร
เพื่อเร่งรัดให้พื้นที่ในภาคตะวันตกของจีนมีระดับการพัฒนาที่ทัดเทียมกับภาคตะวันออก ที่เปิดสู่ภายนอกมาก่อน ทางการจีนมีนโยบายพิเศษเพื่อส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันตก โดยเฉพาะหากเป็นการลงทุนในประเภทอุตสาหกรรมที่อยู่ในบัญชี “The Catalogue of Priority Industries for Foreign Investment in Central and Western Regions” (中西部地区外商投资优势产业目录)
กล่าวโดยสรุป ภายใต้นโยบายการลงทุนโดยคนต่างชาติ (Foreign Investment Industrial Guidance Catalog 2011 (外商投资产业指导目录) จีนแบ่งประเภทอุตสาหกรรมออกเป็น 4 บัญชี ได้แก่ บัญชีอนุญาต (ธุรกิจที่อนุญาตให้คนต่างชาติประกอบกิจการได้) บัญชี ส่งเสริม(ธุรกิจที่ได้รับมาตรการจูงใจให้ประกอบกิจการ) บัญชีจำกัดการลงทุน (ธุรกิจที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนของผู้ประกอบการต่างชาติ แต่ยังสามารถลงทุนได้) และบัญชีห้าม (ธุรกิจที่ไม่เปิดให้คนต่างชาติประกอบกิจการ) โดย 3 บัญชีแรก เป็นประเภทอุตสาหกรรมที่คนต่างชาติสามารถมาลงทุนได้
จีนเป็นประเทศกว้างใหญ่ ซึ่งแต่ละพื้นที่มีลักษณะเด่นที่เหมาะสมกับสาขาการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป อาทิ มหานครใหญ่ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้ กว่างโจวและปักกิ่ง ซึ่งประชาชนมีกำลังซื้อมาก เหมาะสมกับการลงทุนในภาคบริการ (เช่น ร้านอาหารและโรงแรม) มากกว่ามณฑลที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ ขณะที่มณฑลที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ มักจะมีค่าแรงที่ต่ำกว่าเมืองใหญ่ๆ จึงเหมาะสมกับการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตมากกว่า ในการนี้ การเลือกพื้นที่ลงทุนในจีนให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรคำนึงถึงลำดับต้นๆ (ดูรายละเอียด ข้อมูลจีนรายมณฑล)
เมื่อตัดสินใจจะมาลงทุนในจีนแล้ว ประเด็นต่อไปที่จะต้องพิจารณาคือ การหารูปแบบการจัดตั้งธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 รูปแบบ (ดูรายละเอียด รูปแบบการจัดตั้งธุรกิจ) ดังนี้
การนำสินค้าไทย (หรือจากประเทศที่สาม) มาขายในจีน
การค้าขายเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในการทำธุรกิจกับจีนและเป็นที่นิยมของธุรกิจต่างชาติ เนื่องจากธุรกิจไม่ต้องลงแรงมากดังเช่นการลงทุนตั้งโรงงานหรือสำนักงานในจีน และได้ผลเร็ว โดยเฉพาะหากสามารถทำตลาดและจับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม
ณ วันนี้ จีนมีชนชั้นกลางที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอย (และนิยมของ “แปลกใหม่” รวมถึงของจากต่างประเทศ) มากกว่า 300 ล้านคน และกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามนโยบาย urbanization ขณะเดียวกัน ก็มีเครือข่ายผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการค้ากว่า 240 ล้านคน โดยเฉพาะผ่านเว็บไซต์ Taobao ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรหาทางใช้ประโยชน์ทางการค้าจากช่องทางนี้
จากการที่ละครและภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้มาฉายในโทรทัศน์ของจีนในรอบหลายปีที่ผ่านมา กอปรกับในแต่ละปี มีชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวและศึกษาในไทยนับล้านคน ปัจจุบัน จึงมีกระแส “ความนิยมไทย” ในจีนเป็นอย่างมาก และกำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ซึ่งกระแสความนิยมไทยในจีนนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทั้งไทยสามารถนำมาต่อยอดให้กับการค้าสินค้าและบริการของไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ของที่ระลึก สปา ของแต่งบ้าน วัตถุมงคล ฯลฯ
จีนกับไทยมีข้อตกลงลดภาษีศุลกากร (Customs) ภายใต้กรอบ “เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน” ซึ่งเริ่มมีผลอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2553 ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 90 ของสินค้าที่ไทยและจีนค้าขายกันอยู่ ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีศุลกากร หากผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกขอใช้สิทธิ์นั้นตามขั้นตอน (“Form E”) ทั้งนี้ สำหรับท่านที่จะส่งออกสินค้ามายังจีน แม้จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีศุลกากร แต่ตามระบบของจีน สินค้าเกือบทุกชนิด รวมทั้งสินค้าเกษตร จะต้องชำระภาษีอีกร้อยละ 13 (สำหรับสินค้าไม่แปรรูป) และร้อยละ 17 (สำหรับสินค้าที่แปรรูปแล้ว) ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องจ่าย ณ ด่านที่นำเข้า
กล่าวโดยสรุป จีนแบ่งสินค้านำเข้าออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
หากประสงค์จะส่งสินค้ามาขายในจีน ต้องทำความรู้จักกับ “ผู้มีสิทธิ์นำเข้า” ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
“โครงสร้างการค้าของจีน” เป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึงในการวางแผนที่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจของตนเองในการนำสินค้าเข้าขายในจีน เนื่องจากในสินค้าหลายประเภท (เช่น ผลไม้และสินค้าเกษตรบางชนิด) มีโครงสร้างการค้าที่ค่อนข้างผูกขาดโดยผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ที่ตั้งอยู่ตามเมืองท่านำเข้าสำคัญๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า หากสามารถจับคู่ธุรกิจกับผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ของจีนได้ โอกาสในการนำสินค้าไทยของตนเองเข้าไปปักธงในจีนได้ ก็มีมากขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ดี การจับคู่ธุรกิจกับผู้กระจายสินค้ารายใหญ่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น การที่ฝ่ายไทยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพในการผลิตที่ยังไม่เป็นที่รับได้ และการที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถแบ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจกันได้อย่างลงตัว
การนำสินค้าเข้าสู่ตลาดจีน สามารถทำได้หลายรูปแบบและวิธีการ ซึ่งมีความยากง่ายและโอกาสในการประสบผลสำเร็จที่แตกต่างกันไป อาทิ
การนำสินค้าจีนไปขายในไทยหรือประเทศที่สาม
โดยที่จีนใช้ “การผลิตเพื่อส่งออก” เป็นนโยบายหลักในการพัฒนาประเทศมากว่า 30 ปี ดังนั้น ปัจจุบัน ควบคู่กับการเป็นตลาดนำเข้ารายใหญ่ จีนจึงเป็นฐานการผลิตและแหล่งส่งออกส่วนประกอบ และสินค้าสำเร็จรูปด้วย โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้าแฟชั่น ทั้งนี้ โดยในแต่ละพื้นที่ของจีน จะมีสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกที่แตกต่างกันออกไป
จีนอนุญาตให้ส่งออกสินค้าได้กว่าร้อยละ 90 ของสินค้าทั้งหมด ทั้งนี้ สินค้าที่ห้ามส่งออกหรือจำกัดการส่งออก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เช่น สินแร่หายาก สัตว์และซากสัตว์บางชนิด
ปัจจุบัน รูปแบบที่ผู้ประกอบการไทยนิยมใช้เพื่อนำเข้าสินค้าจากจีน แบ่งออกได้เป็น 2 แนวทาง คือ
กล่าวโดยสรุป ข้อควรระวังที่สำคัญในการนำสินค้าจากจีนออกไปยังไทยหรือประเทศที่สามคือ มาตรฐานและคุณภาพสินค้า ความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทน และการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการชำระเงิน (เช่น การเจาะระบบอีเมล์เพื่อหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ) ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากนโยบายลดภาษีศุลกากรระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ ก่อนการส่งออก ต้องไม่ลืมดำเนินการตามขั้นตอนการขอใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีศุลกากรด้วย
จีน เป็น “โอกาส” มากพอๆ กับที่่เป็น “ความท้าทาย”
ด้วยความที่มีขนาดใหญ่ และมีแนวโน้มการขยายตัวที่สูงและต่อเนื่อง ตลาดจีนจึงเป็น “โอกาส” ที่นักธุรกิจต่างชาติจับจ้องตาเป็นมัน อย่างไรก็ดี จากการศึกษาประสบการณ์ของบริษัทต่างชาติในจีนพบว่า จีนถือเป็น “ตลาดปราบเซียน” เนื่องด้วยมี “ความท้าทาย” นานาประการที่ต้องพึงรู้ พึงระวังในการวางแผนธุรกิจ และหาวิธีรับมือไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะประเด็นท้าทายดังต่อไปนี้
เมื่อท่านได้มีความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่ตลาดจีน ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) ยินดีที่จะก้าวไปพร้อมกับท่านด้วยการให้บริการข้อมูลและคำปรึกษาที่จะช่วยให้ท่านเริ่มต้นธุรกิจในจีนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ชี้ช่องทาง สร้างโอกาส พิชิตตลาดจีน”
เมื่อท่านได้มีความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่ตลาดจีน ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) ยินดีที่จะก้าวไปพร้อมกับท่านด้วยการให้บริการข้อมูลและคำปรึกษาที่จะช่วยให้ท่านเริ่มต้นธุรกิจในจีนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ชี้ช่องทาง สร้างโอกาส พิชิตตลาดจีน”
พร้อมแล้ว…เรามาเดินไปด้วยกัน!
“สนใจลงทุนในจีน” เป็นประเด็นที่ธุรกิจต่างชาติให้ความสนใจกันไม่น้อย แต่แล้วก็มักจะเกิดคำถามในใจว่า จีนอนุญาตให้วิสาหกิจต่างชาติจัดตั้งธุรกิจรูปแบบใดได้บ้าง? แต่ละรูปแบบธุรกิจมีข้อแตกต่างกันอย่างไร? แล้วรูปแบบไหนจึงจะเหมาะสมกับธุรกิจของตนเองมากที่สุด?
สำหรับ นักลงทุนที่สนใจเข้าทำธุรกิจในจีน ควรศึกษาว่ารัฐบาลจีนได้กำหนดให้วิสาหกิจต่างชาติสามารถจัดตั้งธุรกิจในจีน รูปแบบใดบ้าง ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติสามารถเลือกจดทะเบียนธุรกิจในจีนได้ 4 ประเภท คือ
“สำนักงานตัวแทน” เป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นตัวแทนของบริษัทแม่จากต่างประเทศในการ ประสานงานทางธุรกิจที่อยู่ในประเทศจีน การดำเนินงานในบริษัทสามารถประกอบกิจกรรมประเภทต่างๆ ดังนี้
1. การติดต่อประสานงาน
โดย เป็นตัวแทนในการติดต่องานที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าและบริการ รวมถึงการจัดซื้อ ซึ่งไม่สามารถแสวงหากำไรได้โดยตรง (เว้นแต่จะได้รับการยอมรับตามข้อตกลงนานาชาติ) โดยไม่สามารถออกใบแจ้งหนี้ (Invoice) ใบแจ้งราคา (Quotation) ในนามของสำนักงานตัวแทนเองได้ แต่ทำได้เพียงแค่เป็นผู้ติดต่อประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัท แม่เท่านั้น
2. การทำกิจกรรมด้านการตลาด
เช่น การวิจัยตลาด การจัดแสดงและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า/บริการของบริษัท เป็นต้น
“วิสาหกิจประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด” เป็นธุรกิจที่จัดตั้งโดยใช้เงินทุนจากชาวต่างชาติทั้งหมด (ลงทุน 100%) ซึ่งสามารถลงทุนในสายการผลิต การบริการ และการค้าในประเทศจีน รวมถึงยังสามารถขยายขอบเขตธุรกิจเพิ่มเติมได้ ธุรกิจในรูปแบบนี้ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก ด้วยปัจจัยที่สำคัญดังต่อไปนี้
“วิสาหกิจร่วมทุน” เป็นกิจการที่จัดตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติ (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลเดี่ยวหรือกลุ่ม) ร่วมกับหุ้นส่วนที่เป็นนิติบุคคลจีน โดยบริษัทร่วมทุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. บริษัทร่วมทุนแบบร่วมหุ้น (Equity Joint Venture)
เป็นการร่วมทุนระหว่างทุนจีนกับทุนต่างชาติที่มีการแบ่งส่วนของกำไรขาดทุน เท่าเทียมกันตามสัดส่วนของหุ้นที่มีร่วมกัน โดยทุนต่างชาติจะต้องมีไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนทุนที่จดทะเบียนทั้งหมด
2. บริษัทร่วมทุนแบบร่วมดำเนินงาน (Cooperative Joint Venture)
เป็นรูปแบบบริษัทธุรกิจต่างชาติที่มีความยืดหยุ่น โดยผู้ลงทุนชาวจีนและต่างชาติล้วนมีอิสระในการทำงานร่วมกัน และไม่จำเป็นต้องแบ่งกำไรขาดทุนตามสัดส่วนของการถือหุ้นที่มีร่วมกัน
“วิสาหกิจการค้าที่ลงทุนโดยต่างชาติ” หมายถึง กิจการที่เจ้าของเป็นต่างชาติทั้งหมด (WFOE) หรือกิจการร่วมทุน (JV) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการด้านการส่งออก-นำเข้า ตลอดจนการกระจายสินค้าภายในประเทศจีน โดยตั้งแต่ที่มีการเปิดเสรีด้านการค้าปลีกและกระจายสินค้าในจีนเมื่อปี 2547 เป็นต้นมา ทางการจีนได้อนุญาตให้วิสาหกิจการค้าของต่างชาติที่มาลงทุนในจีนสามารถ ประกอบกิจการได้ตามรายการต่อไปนี้
ประเภทกิจการ | สถานะทางกฏหมาย | จุดประสงค์ | ข้อดี | ข้อเสีย |
สำนักงานตัวแทน Representative office (RO) | ไม่มีสถานะทางกฏหมาย | – วิจัยตลาด – วางแผนการเข้ามาดำเนินการในอนาคต – ประสานงานอำนวยความสะดวกให้บริษัทแม่ | – ใช้เงินทุนจัดตั้งน้อย – มีความคล่องตัวในการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับการตลาดและการประสานงาน | – ไม่สามารถออกใบแจ้งหนี้สกุลเงินหยวนได้ – จะต้องจัดจ้างเจ้าหน้าที่ผ่านตัวแทนจัดหางานในท้องถิ่น |
กิจการประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด Wholly foreign-owned enterprise (WFOE) | จำกัดจำนวนหนี้ที่รับผิดตามกฏหมาย | – ผลิตสินค้า (สำหรับขายในจีนหรือส่งออก) – ให้บริการทางธุรกิจ | – เจ้าของเป็นต่างชาติทั้งหมด – สามารถดำเนินกิจกรรมตามขอบเขตธุรกิจได้ยืดหยุ่น – สงวนกรรมสิทธิ์ในด้านเทคโนโลยี และทรัพยสินทางปัญญาได้ – รักษาวัฒนธรรมองค์กรดั้งเดิม – สามารถโอนผลกำไรจากเงินสกุลหยวนกลับไปยังต่างชาติได้ | – ใช้เงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนตลอดโครงการ – ต้องสร้างยอดขายในตลาดจีนด้วยตัวเอง |
กิจการร่วมทุน Joint venture (JV) | จำกัดจำนวนหนี้ที่รับผิดตามกฏหมาย | – เพื่อเป็นไปตามข้อกำหนดที่ต้องมีคนท้องถิ่นถือหุ้นด้วย – เมื่อหุ้นส่วนท้องถิ่นยื่นข้อเสนอ ที่ลงตัวให้ได้ เช่น ผลกำไร ยอดขาย ช่องทางการกระจายสินค้า ฯลฯ | – สามารถต่อยอดโรงงานและแรงงานจากเดิมที่มีอยู่ได้ – สามารถต่อยอดช่องทางขายและกระจายสินค้าจากเดิมได้ | – การดำเนินงานล่าช้า – การปรับขยายสินทรัพย์หรือยอดขายร่วมกันระหว่างหุ้นส่วนที่อาจมีตัวเลขเกินจริงได้ – การถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันและการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกัน – ความเสี่ยงในการบริหารงานร่วมกัน |
วิสาหกิจการค้าที่ลงทุนโดยต่างประเทศ Foreign-invested commercial enterprise (FICE) | จำกัดจำนวนหนี้ที่รับผิดตามกฏหมาย | สำหรับกิจการประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมดหรือกิจการร่วมทุนที่ประกอบกิจการด้านการค้า การกระจายสินค้า และการค้าส่ง | – เอื้อต่อกิจการประเภทการค้าและการกระจายสินค้า | – ใช้เงินทุนจดทะเบียนสูง |
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง :
ต้องการประกอบกิจการด้านการค้า การกระจายสินค้า และการค้าส่งในจีนแบบครบวงจร
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
หลัง จากที่ได้ทราบถึงความแตกต่างของรูปแบบธุรกิจที่ชาวต่างชาติจะสามารถเข้ามา จัดตั้งในจีน พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดจีนแล้ว ลำดับต่อไปคือการพิจารณาถึงปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคต ซึ่งจำเป็นจะต้องคำนึงตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินการจัดตั้งธุรกิจ อาทิ
การระบุขอบเขตกิจกรรมทางธุรกิจถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากธุรกิจที่จดทะเบียนในจีนจะสามารถดำเนินกิจการได้ตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ผู้จดทะเบียนธุรกิจจึงควรมั่นใจว่า ได้ระบุขอบเขตกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทไว้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต้องสามารถตรวจสอบได้จริงด้วย เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น
ทั้งนี้ ในระหว่างการยื่นจดทะเบียน แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะพิจารณาขอบเขตของธุรกิจจากเพียงเอกสารที่ระบุในเบื้อง ต้นและอนุมัติให้ แต่หลังจากที่ดำเนินกิจการแล้วก็จะมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานสรรพากรอย่าง ละเอียดในเอกสารใบยื่นขอจัดตั้งบริษัท ดังนั้น การ ระบุข้อความกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงภาษีหรือปิดบังสรรพากร จะทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหน้าได้
กฎหมาย จีนระบุว่า ทุนจดทะเบียนบริษัทขั้นต่ำอาจเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 หยวนสำหรับกิจการที่มีผู้ถือหุ้นร่วมหลายคน แต่หากเป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว ทุนจดทะเบียนจะเพิ่มเป็น 100,000 หยวน
ในทางปฏิบัติแล้ว ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่และประเภทของกิจการ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งอาจมีการดึงดูดให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามาตั้งกิจการ ด้วยการกำหนดเงินทุนจดทะเบียนขั้นต่ำที่ค่อนข้างน้อย เพื่อให้ได้จำนวนกิจการตามที่ได้วางแผนไว้ อย่างไรก็ดี ทุนจดทะเบียนบริษัทไม่ควรจะต่ำเกินไป เนื่องจากอาจมีสรรพากรท้องถิ่นและสรรพากรกลางเข้ามาตรวจดูความเหมาะสมเมื่อ ดำเนินธุรกิจไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น จึงควรระบุทุนจดทะเบียนขั้นต่ำตามความเหมาะสม โดยควรคำนึงถึงภาระหนี้ (ที่สามารถรับผิดชอบได้) ที่อาจการเกิดขึ้นระหว่างดำเนินกิจการด้วย
ทั้งนี้ จำนวนทุนจดทะเบียนบริษัทมากหรือน้อย นอกจากจะสะท้อนให้ทางการจีนมีความมั่นใจว่าธุรกิจที่จะจัดตั้งนั้นๆ มีความมั่นคงทางการเงินเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจหรือไม่แล้ว ยังจะสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของบริษัท ซึ่งคู่ค้ามักจะใช้ทุนจดทะเบียนบริษัทเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาก่อนตัดใจสิน เข้าร่วมทำธุรกิจด้วย
เงิน ทุนหมุนเวียนเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ในระหว่างเริ่มจัดตั้งธุรกิจใหม่ๆ เจ้าของกิจการอาจมีความกังวลว่าเงินทุนจดทะเบียนที่ใช้ยื่นขอจัดตั้งบริษัท อาจไม่เพียงพอ จึงมักนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ในมือเข้ามารวมเป็นเงินทุนที่จะจดทะเบียนด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจขาดเงินทุนหมุนเวียนในภายหลังได้
ทั้งนี้ การเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนค่อนข้างมีความยุ่งยากทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายดัง นั้น การนำเงินทุนหมุนเวียนในมือมากระทำการใดๆ จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
ข้อมูล ข้างต้นคงจะช่วยให้ท่านนักลงทุนไทยได้ทราบถึงประเภทธุรกิจที่ทางการ จีนอนุญาตให้วิสาหกิจต่างชาติสามารถจัดตั้งได้ โดยแต่ละประเภทล้วนมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากท่านสนใจจะก้าวสู่การลงทุนทำธุรกิจในจีนอย่างแท้จริงแล้ว ก็ควรพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ความพร้อมของธุรกิจตนเอง ก่อนตัดสินใจว่าควรจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดของจีน กอรปกับการที่จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้จีนมีตลาดใหญ่ภายในประเทศ อีกทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนด้วยนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้จีนกลายเป็นประเทศเป้าหมายสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งนักลงทุนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้ามาจัดตั้งบริษัทในจีนเพื่อนำสินค้าไทยเข้ามาจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าในจีน
ช่วงก่อนปี 2004 ภาคการค้าของจีนยังไม่ได้เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างเต็มที่ มีเพียงแต่เขตการค้าเสรีเท่านั้นที่มีการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ต่อมาเมื่อบริษัทเทรดดิ้งในจีนได้ถูกลดการควบคุมลง นักลงทุนต้างชาติก็เริ่มเข้ามาเป็นเจ้าของบริษัทเทรดดิ้งได้มากขึ้น ปัจจุบันชาวต่างชาติสามารถเข้ามาจัดตั้งธุรกิจประเภทนำเข้าส่งออกและเทรดดิ้งในจีนได้อย่างเสรี ขณะเดียวกันหลายกิจการก็ยังใช้บริการตัวแทนในการนำเข้า-ส่งออกอยู่ ซึ่งต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
นักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตให้จัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งในรูปแบบขององค์กรที่มีต่างชาติเป็นเจ้าของหรือร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวจีนได้ การจัดตั้งธุรกิจควรคำนึงถึงขอบเขตของธุรกิจที่ได้รับการอนุญาต (เช่นเดียวกับการระบุวัตถุประสงค์ของกิจการในการจัดตั้งบริษัทที่ไทย) ซึ่งจะต้องระบุกิจกรรมของบริษัท ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ค้าขายอย่างชัดเจน และเมื่อได้รับการอนุมัติแล้วจะมีการระบุชื่อผลิตภัณฑ์ไว้ในใบอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างชัดเจน ดังนั้นการระบุขอบเขตของบริษัทจึงควรครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และควรคำนึงเสมอว่าไม่ควรดำเนินกิจกรรมใด ๆ นอกขอบเขตของธุรกิจที่ได้รับมอบการอนุมัติไว้
ในการจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งจะต้องมีทุนจดทะเบียนเป็นของตนเองก่อนจึงจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ ทุนจดทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของเงินสด ทั้งนี้สามารถใช้ทุนจดทะเบียนในรูปแบบสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินสดแทนได้ ผู้ก่อตั้งกิจการจะต้องส่งรายงานความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจในท้องถิ่น เพื่อกำหนดแผนการลงทุน โดยสำนักงานพาณิชย์ในท้องถิ่นจะประเมินว่าจำนวนทุนจดทะเบียนที่ระบุมีความเหมาะสมกับการดำเนินการของบริษัทหรือไม่ การจัดตั้งบริษัทในจีนจึงไม่มีทุนจดทะเบียนที่แน่นอนแต่มาจากการอนุมัติที่ได้พิจารณาจากเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ทุนจดทะเบียนบริษัทสามารถชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียวหรือผ่อนชำระได้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจากต่างชาติควรศึกษากฏระเบียบในการลงทุนจัดตั้งบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่นควบคู่กับแนวปฏิบัติในการจัดตั้งธุรกิจของรัฐบาลกลางประกอบควบคู่กันไปด้วย
การจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งจะต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรก คือ การจัดเตรียมเอกสารจนไปถึงขั้นตอนสุดท้ายในการรับใบอนุญาตในประกอบธุรกิจ ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 4-5 เดือน เอกสารประกอบการจัดเตรียมทั้งหมดเป็นภาษาจีน ผู้ประกอบต่างชาติจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยจัดเตรียมเอกสารและดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อขออนุมัติในนามของตัวเอง (รายละเอียดขั้นตอนการจัดตั้งธุรกิจเทรดดิ้งในจีนจากเอกสารดาวน์โหลดด้านล่าง)
3.1 ภาษีสินค้า เมื่อธุรกิจมีการนำสินค้าเข้ามายังประเทศจีนในนามของตัวเองแล้วโดยทั่วไปจะต้องเสียภาษีนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และสินค้าบางรายการจะต้องเสียภาษีสรรพสามิต อัตราภาษีแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้า การจัดจำหน่ายสินค้าโดยทั่วไปจะต้องมีภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มรวมอยู่ด้วย
ภาษีนำเข้า ประเทศไทยและจีนมีข้อตกลงทางการค้าตามกรอบเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนที่มีผลให้สินค้าไทยหลายรายการที่ส่งออกจากไทยไปยังประเทศจีนก็ยกเว้นภาษีเสียภาษีนำเข้าเมื่อเข้าประเทศจีน และสินค้าจากจีนหลายรายการที่ส่งออกจากจีนไปยังไทยก็ยกเว้นภาษีนำเข้าของไทยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ยังมีสินค้าบางรายการที่ยังคงต้องเสียภาษีนำเข้าอยู่ (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหน้าเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ www.thaifta.com เลือก FTA China-ASEAN)
ภาษีมูลค่าเพิ่มจีนและอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าที่นำเข้าจีน สามารถคำนวณได้จากเว็บไซต์ทั่วไปหรือสอบถามได้ที่สำนักงานศุลกากรจีนในท้องถิ่น
3.2 ภาษีธุรกิจ
ตามกฎระเบียบในการจัดเก็บภาษีแล้ว ผู้ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องมีความรับผิดชอบในการชำระภาษีท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทเทรดดิ้งจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราร้อยละ 25 โดยคำนวณจากผลกำไร ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พนักงานบริษัทเทรดดิ้งจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเก็บภาษีตามอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ร้อยละ 3 – 45 ตามอัตราการประเมิน (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากคู่มือการจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งในจีน)
4.1 การตรวจสอบสินค้านำเข้า
การนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศนำเข้ามายังประเทศจีนไม่เพียงแต่จะถูกควบคุมโดยศุลกากรจีนที่กำกับด้านอากรภาษีเท่านั้น ยังมีจากสำนักงานตรวจสอบควบคุมคุณภาพและกักกันโรคแห่งประเทศจีน (General Administration of Quality Supervision, Inspection and Quarantine of the People’s Republic of China: AQSIQ) ทำหน้าที่ตรวจสอบด้านสุขอนามัยอีกด้วย กระบวนการตรวจสอบสินค้านำเข้ามีความแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า ผู้เข้าหากนำเข้าในนามของตัวเองจำเป็นต้องตรวจสอบกฏระเบียบการนำเข้าจากหน่วยงานดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และจัดเตรียมเอกสารประกอบการนำเข้าก่อนส่งออกสินค้ามายังประเทศจีน
4.2 การขออนุญาตนำเข้า
สินค้าหลายรายการเป็นสินค้าที่ทางการจีนกำหนดให้ต้องมีการขออนุญาตก่อนนำเข้า หรือต้องได้รับสิทธิในการนำเข้า เช่น ต้องมีใบอนุญาตการนำเข้า หรือได้รับจัดสรรโควต้าจำนวนที่นำเข้าก่อน ดังนั้นก่อนการนำเข้าควรตรวจสอบจากหน่วยงานจีนที่เกี่ยวข้องก่อน
4.3 การปิดฉลากและบรรจุภัณฑ์ของสินค้า
สินค้าที่นำเข้าเกือบทุกชนิดควรจะติดสลากและห่อบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม และควรปฎิบัติตามคำแนะนำของจีนเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านฉลากที่หน่วยงานจีนได้กำหนดไว้
การนำเงินลงทุนจากต่างประเทศมาเพื่อใช้ก่อตั้งกิจการครั้งแรกอยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (State Administration of Foreign Exchange: SAFE) ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบก่อนการเคลื่อนย้ายเงินมาลงทุนในประเทศจีน รวมทั้งการชำระเงินตราต่างประเทศ หากนำเข้าสินค้าเข้ามาในจีนจะต้องชำระเงินในสกุลต่างประเทศ ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบการชำระเงินตราต่างประเทศโดยสำนักบริหารเงินตราต่างประเทศก่อน สำหรับการโอนเงินออกนอกประเทศ บริษัทต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในจีน หลังจากที่ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว บริษัทเทรดดิ้งจะต้องเขียนใบคำขอโอนเงิน พร้อมใบเสร็จที่แสดงการเสียภาษีต่อสำนักบริหารเงินตราระหว่างประเทศ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วธนาคารจึงจะสามารถดำเนินการโอนเงินออกไปได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
บริษัทต่างชาติสามารถจ้างชาวต่างชาติหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อปฎิบัติงานได้ภายใต้จำนวนที่ต้องขออนุมัติจากสำนักงานแรงงานท้องถิ่น เมื่อมีการจ้างงานชาวจีน นายจ้างจะต้องจ่ายเงินเข้าโครงการประกันสังคมให้กับพนักงานชาวจีน ซึ่งครอบคลุมในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น บำนาญและค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้ ในบางพื้นที่พนักงานชาวต่างชาติถูกกำหนดให้ต้องเข้าโครงการประกันสังคมด้วยเช่นกัน
การขอวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติ
การขอวีซ่าการทำงานของลูกจ้างชาวต่างชาติจะต้องใช้จดหมายเชิญเข้าทำงานที่ได้รับจากนายจ้างซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการขอใบอนุญาตทำงานสามารถขอได้จากสำนักแรงงานท้องถิ่น และการขอใบอนุญาตพำนักอาศัยสามารถขอได้จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำกรมรักษาความสงบภายใน ในท้องถิ่น ( Entry – Exit Administrative Service Center, Public Security Bureau, 公安局出入境管理分局)
กิจการธุรกิจเทรดดิ้งควรมีสำนักงานเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเช่าหรือซื้อก็ได้โดยจะต้องมีสัญญาเช่าที่ถูกต้อง หรือการเป็นการซื้อจะต้องมีใบรับรองความเป็นเจ้าของเป็นหลักฐาน โดยที่อยู่อย่างเป็นทางการที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าจะต้องระบุลงในใบอนุญาตประกอบการที่ได้จดทะเบียนไว้ตรงกันด้วย การเลือกสำนักงานควรเป็นอาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ในย่านการพาณิชย์ไม่ใช่ย่านอาคารที่พักอาศัย และที่อยู่ควรเป็นที่อยู่อย่างเป็นทางการของบริษัทเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ที่อยู่จดทะเบียนรวมกันกับกิจการอื่นได้
การจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งเพื่อขายสินค้าไทยในจีนหรือนำเข้าสินค้าจากจีน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นสำนักงานที่ปรึกษากฏหมายหรือสำนักงานบัญชีมืออาชีพในท้องถิ่นเพื่อยื่นเรื่องขอจัดตั้งกิจการได้ ความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในคู่มือจัดตั้งธุรกิจเทรดดิ้งในจีน
อาหารไทยนับเป็นหนึ่งในอาหารต่างชาติที่ได้รับความนิยมในจีน ส่วนใหญ่จะมีเจ้าของผู้ลงทุนเป็นชาวจีนและฮ่องกง โดยมีการจ้างพ่อครัวชาวไทยเป็นผู้ดูแลด้านอาหาร ปัจจุบันหัวเมืองใหญ่ ๆ ของจีนที่ประชาชนมีกำลังการบริโภคสูงต่างก็มีร้านอาหารไทยเปิดให้บริการขึ้นจำนวนมาก รวมถึงมีธุรกิจไทยด้านเครื่องปรุงอาหารไทยที่เข้ามาบุกเบิกตลาดในจีนแล้วเช่นกัน อาทิ ง่วนสูน ทั้งนี้ กฎระเบียบของจีนในปัจจุบันเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนและดำเนินธุรกิจร้านอาหารได้ โดยขั้นตอนการเปิดร้านอาหารไทยในมณฑล/เมืองนั้น ๆ โดยสรุป แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
1. ยื่นขอ ชื่อที่จะใช้จดทะเบียนธุรกิจ (Apply for A Company Name) ณ สำนักบริหารอุตสาหกรรมและพาณิชย์ในท้องที่ (Administration for Industry and Commerce, 工商行政管理局) โดยทั่วไป ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
2. ยื่นขอ การก่อตั้งกิจการโดยทุนต่างชาติ (Apply for Establishment of Foreign-funded Enterprise) ณ สำนักงานพาณิชย์ในท้องที่ (Commerce Bureau, 商务局) ใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 90 วันทำการ
3. ยื่นขอ ใบอนุญาตการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Examination and Approval) ณ สำนักงานสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น (Environmental Protection Bureau, 环保局) ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์
4. ยื่นขอ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจบริการร้านอาหาร (Apply for Food Service Permit, 餐饮服务许可证) ณ สำนักงานกำกับอาหารและยาในท้องถิ่น (Local Food and Drug Administration, 食品药品监督管理局) ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
5. ยื่นขอ ใบอนุญาตการป้องกันอัคคีภัย (Fire Protection Registration) ณ สำนักงานดับเพลิงท้องถิ่น (Fire Department, 消防局) ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
6. ยื่นขอ ใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ (Apply for Business License, 营业执照) ณ สำนักงานบริหารอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ในท้องถิ่นของเขตที่ร้านจะตั้งอยู่ ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
1. ยื่นขอ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (Tax Registration) ณ สำนักงานภาษีท้องถิ่น (Local Taxation Administration, 地方税务局)
2. ยื่นขอ ใบทะเบียนเลขประจำตัวนิติบุคคล (Code Allocation to Organization Certificate – 组织机构代码证) ณ สำนักงานควบคุมคุณภาพและเทคโนโลยีท้องถิ่น (Quality and Technology Supervision Bureau, 质量技术监督局)
3. ยื่นจดทะเบียนขออนุญาตเปิดบัญชีธนาคาร (Permit for Opening Bank Account) ณ ธนาคารประชาชนจีน (The People’s Bank of China -中国人民银行) ประจำท้องที่
4. ยื่นจดทะเบียนสถิติ (Statistics Registration) ณ สำนักงานสถิติท้องถิ่น
5. ยื่น ขออนุญาตทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Registration) ณ สำนักงานปริวรรตเงินตราระหว่างประเทศประจำท้องถิ่น (Foreign Exchange Supervision Bureau, 外汇管理局)
6. ยื่น จดทะเบียนประกันสังคมและแรงงาน (Labor and Social Security Registration, 劳动和社会保障登记证) ณ สำนักงานแรงงานและประกันสังคมประจำท้องถิ่น (Labor and Social Security Bureau, 劳动和社会保障局)
7. ลงทะเบียนตรวจสุขภาพและขอรับใบรับรองการอบรมของพนักงาน (Health and Hygiene Examination) ณ สำนักงานตรวจสอบและกักกันโรค (CIQ) ท้องถิ่น
8. ยื่นจดทะเบียนผู้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol Permit Registration) ณ สำนักงานพาณิชย์ท้องถิ่น หากจะขายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ภายในร้านด้วย
9. ยื่นเรื่อง ขออนุญาตขอจ้างแรงงานต่างด้าว (Employment of Foreigner Permit) ณ สำนักงานแรงงานในท้องถิ่น เพื่อดำเนินการยื่นเรื่องขอเชิญพ่อครัวและแม่ครัวไทยเข้ามาทำงานในร้าน
ปัจจุบันจีนได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่จีนเริ่มเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก จีนได้มีพัฒนาการที่เห็นได้ชัดในทางเศรษฐกิจ อีกทั้งอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่าเศรษฐกิจของจีนก้าวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รวมถึงเป็นตลาดนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งได้มีการค้าขายกับจีนมาตั้งแต่อดีต และจีนก็เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ทำให้มีนักลงทุนจากไทยมาลงทุนและทำธุรกิจในจีนเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงในด้านการนำเข้าส่งออกเท่านั้น ด้านธุรกิจบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการการท่องเที่ยวและสปาที่มีชื่อเสียงของไทยก็ได้รับการยอมรับจากชาวจีนจนมีชื่อเสียงอย่างเด่นชัด
การจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีน เริ่มเป็นที่แพร่หลายและนิยมมากขึ้นภายในหมู่คนจีน เนื่องจากเป็นการบริการการนวดเพื่อผ่อนคลายและมีผลเพื่อบำรุงความงาม ซึ่งเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์เสน่ห์ของความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน ชาวจีนที่ได้สัมผัสการบริการสปาแบบไทยในจีนมีจำนวนไม่น้อยนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติจึงให้ความสนใจเปิดธุรกิจสปาไทยในจีนเพื่อรองรับความต้องการของชาวจีนที่มีอยู่ การจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีนของผู้ประกอบการจากไทย มีข้อควรคำนึงที่สำคัญ ดังนี้
นักลงทุนต่างชาติต้องจัดตั้งธุรกิจสปาในรูปแบบตามที่จีนกำหนดภายใต้บริษัทร่วมทุน (Joint Venture) หรือ บริษัทต่างชาติ (Whole Foreign Oriented Enterprise) นักลงทุนชาวต่างชาติสามารถที่จะตัดสินใจเลือกรูปแบบการลงทุนได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของแผนดำเนินการธุรกิจที่ได้ตั้งไว้
นักลงทุนต่างชาติที่จะจัดตั้งธุรกิจสปาในจีนนั้นควรที่จะสมัครเป็นธุรกิจตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้โดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จีนกำหนด โดยขอบเขตในการจัดตั้งธุรกิจสปานั้นเป็นการกำหนดความต้องการในการบริการ หรือ ขอบเขตของการบริการที่ครอบคลุม โดยในครั้งแรกจะได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ ซึ่งควรตระหนักไว้ว่าการจัดตั้งธุรกิจสปานั้นไม่ควรทำนอกเหนือขอบเขตที่จีนได้กำหนดไว้
ธุรกิจสปาไทยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากหน่วยงานจีนในเดียวกันกับกิจการประเภทสถานเสริมความงาม ซึ่งครอบคลุมไปถึงการดูแลเล็บ การทำเลเซอร์หรือทรีทเมนต์ รวมทั้งการสร้างการบริการต่าง ๆ ในปัจจุบันจึงยังไม่มีขอบเขตกิจกรรมทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการจัดตั้งธุรกิจสปาของต่างชาติในประเทศจีน
การจัดตั้งธุรกิจสปาจะต้องมีทุนจดทะเบียนเป็นของตนเองก่อนจึงจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ ทุนจดทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของเงินสด ทั้งนี้สามารถใช้ทุนจดทะเบียนในรูปแบบสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินสดแทนได้ ผู้ก่อตั้งกิจการจะต้องส่งรายงานความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจในท้องถิ่น เพื่อกำหนดแผนการลงทุน โดยสำนักงานพาณิชย์ในท้องถิ่นจะประเมินว่าจำนวนทุนจดทะเบียนที่ระบุมีความเหมาะสมกับการดำเนินการของบริษัทหรือไม่ การจัดตั้งบริษัทในจีนจึงไม่มีทุนจดทะเบียนที่แน่นอนแต่มาจากการอนุมัติที่ได้พิจารณาจากเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ทุนจดทะเบียนบริษัทสามารถชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียวหรือผ่อนชำระได้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจากต่างชาติควรศึกษากฏระเบียบในการลงทุนจัดตั้งบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่นควบคู่กับแนวปฏิบัติในการจัดตั้งธุรกิจของรัฐบาลกลางประกอบควบคู่กันไปด้วย
ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทสปาต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานจีนที่เกี่ยวข้อง เริ่มจากการได้รับหนังสือรับรองและใบอนุญาตประกอบธุรกิจจากรัฐบาล ขั้นตอนทั้งหมดใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 5 – 6 เดือน โดยจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่ทางการจีนได้กำหนดไว้ทีละขั้นตอน
ภาษีธุรกิจ รายได้จากการบริการของบริษัทสปาทั่วไปต้องเสียภาษีร้อยละ 5 โดยคำนวณจากรายได้ขั้นพื้นฐานของบริษัท ผู้เสียภาษีจะต้องเสียภาษีให้กับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นโดยจะคิดจากรายได้โดยรวม โดยจำนวนภาษีจะแบ่งเป็นประเภทตามที่ได้กำหนดไว้
ภาษีเงินได้นิติบุคคล การดำเนินการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทสปาโดยทั่วไปมีอัตราขั้นพื้นฐานร้อยละ 25 สำหรับธุรกิจขนาดเล็กร้อยละ 20 การเก็บภาษีจะคำนวณจากกำไรประจำปีของบริษัท โดยจะมีการเก็บข้อมูลทุก ๆ 3 เดือน
ภาษีเงินได้ส่วนบุคคล พนักงานของบริษัท และนักลงทุนต่างชาติต้องเสียภาษีภายใต้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ โดยจะเก็บจากรายได้รายเดือนโดยอัตราเริ่มตั้งแต่ร้อยละ 3 ถึงร้อยละ 45
การนำเงินลงทุนจากต่างประเทศมาเพื่อใช้ก่อตั้งกิจการครั้งแรกอยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (State Administration of Foreign Exchange: SAFE) ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบก่อนการเคลื่อนย้ายเงินมาลงทุนในประเทศจีน รวมทั้งการชำระเงินตราต่างประเทศ หากนำเข้าสินค้าเข้ามาในจีนจะต้องชำระเงินในสกุลต่างประเทศ ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบการชำระเงินตราต่างประเทศโดยสำนักบริหารเงินตราต่างประเทศก่อน สำหรับการโอนเงินออกนอกประเทศ บริษัทต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในจีน หลังจากที่ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจสปาจะต้องเขียนใบคำขอโอนเงิน พร้อมใบเสร็จที่แสดงการเสียภาษีต่อสำนักบริหารเงินตราระหว่างประเทศ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วธนาคารจึงจะสามารถดำเนินการโอนเงินออกไปได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
บริษัทต่างชาติสามารถจ้างชาวต่างชาติหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อปฎิบัติงานได้ภายใต้จำนวนที่ต้องขออนุมัติจากสำนักงานแรงงานท้องถิ่น อย่างไรก็ตามวีซ่าการทำงานในภาคบริการ ถ้าแรงงานในกลุ่มงานของภาคบริการนั้น ๆ ไม่จัดอยู่ในประเภทแรงงานขาดแคลนของของจีน จีนก็จะไม่ทำการอนุญาตวีซ่าให้ ปัจจัยในการพิจารณาอนุมัติขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละท้องถิ่นซึ่งยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนในปัจจุบัน
การขอวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติ
การขอวีซ่าการทำงานของลูกจ้างชาวต่างชาติจะต้องใช้จดหมายเชิญเข้าทำงานที่ได้รับจากนายจ้างซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการขอใบอนุญาตทำงานสามารถขอได้จากสำนักแรงงานท้องถิ่น และการขอใบอนุญาตพำนักอาศัยสามารถขอได้จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำกรมรักษาความสงบภายใน ในท้องถิ่น ( Entry – Exit Administrative Service Center, Public Security Bureau, 公安局出入境管理分局)
ธุรกิจสปาไทยในจีนควรมีสถานประกอบการเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเช่าหรือซื้อก็ได้โดยจะต้องมีสัญญาเช่าที่ถูกต้อง หรือการเป็นการซื้อจะต้องมีใบรับรองความเป็นเจ้าของเป็นหลักฐาน โดยที่อยู่อย่างเป็นทางการที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าจะต้องระบุลงในใบอนุญาตประกอบการที่ได้จดทะเบียนไว้ตรงกันด้วย และที่อยู่ควรเป็นที่อยู่อย่างเป็นทางการของบริษัทเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ที่อยู่จดทะเบียนรวมกันกับกิจการอื่นได้
การจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นสำนักงานที่ปรึกษากฏหมายหรือสำนักงานบัญชีมืออาชีพในท้องถิ่นเพื่อยื่นเรื่องขอจัดตั้งกิจการได้ ความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในคู่มือจัดตั้งธุรกิจสปาไทยในจีน
ประเทศจีน เป็นประเทศที่มีความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์และขนาดของประชากร ประกอบกับมีการวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดีจึงช่วยปูพื้นฐานให้เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งขึ้นจนกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก โดยในปัจจุบัน รัฐบาลจีนมีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ในการลงทุนมากขึ้น จึงทำให้นักลงทุนจากต่างชาติเริ่มให้ความสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจในจีนมากขึ้น ซึ่งธุรกิจโรงพยาบาลก็เป็นหนึ่งในประเภทธุรกิจที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมการลงทุนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 12 ในปัจจุบัน
ประเทศจีนเริ่มเปิดกว้างสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลและลดการควบคุมการลงทุนจากต่างประเทศลง หลังจากเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในปี 2001 อย่างไรก็ตาม การเปิดเสรีของธุรกิจในภาคส่วนนี้ยังไม่ได้เปิดกว้างอย่างเต็มที่ การจัดตั้งธุรกิจยังมีข้อบังคับให้จำเป็นต้องมีหุ้นส่วนธุรกิจเป็นชาวจีน จนเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมาธุรกิจโรงพยาบาลได้ถูกถอนออกจากรายการการลงทุนจากต่างประเทศที่ต้องควบคุม จึงทำให้นักลงทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันสามารถจัดตั้งธุรกิจโรงพยาบาลโดยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวได้ ขณะที่นักลงทุนจากประเทศอื่น ๆ ยังมีความจำเป็นต้องจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบบริษัทร่วมทุนกับชาวจีนอยู่ แม้ว่านโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะมีแนวคิด การผ่อนคลายกฏระเบียบข้อบังคับการเข้ามาลงทุนกิจการด้านการรักษาพยาบาลมากขึ้นแล้วก็ตาม
นักลงทุนที่มาจากประเทศอื่น นอกเหนือจากฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน จะต้องจัดตั้งกิจการด้านการรักษาพยาบาลในรูปแบบบริษัทร่วมทุนระหว่างชาวจีนกับชาวต่างชาติ ได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) กิจการการร่วมทุน (Equity Joint Venture) และ 2. กิจการแบบร่วมดำเนินงาน (Cooperative Joint Venture) โดยผู้ร่วมลงทุนทั้งสองฝ่ายทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามที่หน่วยงานจีนได้กำหนดไว้
การลงทุนในสถาบันการแพทย์โดยชาวต่างชาติจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาสถาบันทางการแพทย์ของส่วนท้องถิ่นที่สถาบันแห่งนั้นได้ตั้งอยู่ โดยจะต้องมีที่ปรึกษาการจัดตั้งที่มีประสบการณ์หรือที่ปรึกษาด้านกฏหมายเข้ามาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตและจัดตั้งกับหน่วยงานท้องถิ่น
ขอบเขตของธุรกิจที่ธุรกิจรักษาพยาบาลจะสามารถกระทำได้ จะต้องได้รับการอนุมัติและระบุไว้ในใบอนุญาตประกอบธุรกิจ การกระทำที่ไม่ได้ระบุไว้ธุรกิจรักษาพยาบาลจะไม่สามารถดำเนินการได้ 4. ข้อกำหนดด้านเงินลงทุน
ธุรกิจรักษาพยาบาลที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติ จะต้องมีทุนจดทะเบียน ซึ่งฝากไว้ในบัญชีธนาคารของจีน โดยผู้ลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินทุนจดทะเบียนได้ภายใต้ข้อกำหนดที่ระบุไว้ และสามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินทุนจดทะเบียนได้ตามความสะดวก ซึ่งแต่ละวิธีจะกำหนดระยะเวลาในการชำระที่แน่นอน
หากธุรกิจรักษาพยาบาลได้รับอนุญาตให้สามารถกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อจุดประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ ปริมาณเงินกู้ระหว่างประเทศที่ธุรกิจรักษาพยาบาลสามารถกู้ยืมได้จะต้องต่ำกว่าจำนวนเงินทุนที่ได้จดทะเบียนไว้
ขั้นตอนในการจัดตั้งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นโดยจะต้องติดต่อทีละหน่วยงาน ทำให้ระยะเวลาในการดำเนินการจะประมาณ 7-8 เดือน ซึ่งธุรกิจรักษาพยาบาลจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติให้เรียบร้อยทุกขั้นตอนก่อนจึงจะสามารถเริ่มดำเนินการได้
ภาษีธุรกิจ ธุรกิจรักษาพยาบาลทั้งที่หวังผลกำไรและมิได้หวังผลกำไร จะได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีธุรกิจ โดยจะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีก่อน
ภาษีท้องถิ่น ภาษีท้องถิ่นจะมีอัตราตามท้องถิ่นที่สถาบันทางการแพทย์ตั้งอยู่
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจรักษาพยาบาลจะต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 25 ยกเว้นธุรกิจรักษาพยาบาลประเภทมิได้หวังผลกำไรที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษี
ภาษีรายได้ส่วนบุคคล ภาษีรายได้ส่วนบุคคลจัดเก็บเป็นรายเดือน โดยหักจากเงินเดือนที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้รับจากสถาบันทางการแพทย์ ซึ่งอัตราภาษีจะอยู่ระหว่างร้อยละ 3-45 ตามข้อกำหนดปลีกย่อย
การแลกเปลี่ยนเคลื่อนย้ายเงินตราข้ามพรมแดนระหว่างประเทศจะถูกตรวจสอบและดูแลโดยสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (State Administration of Foreign Exchange: SAFE) ซึ่งกิจกรรมระหว่างประเทศส่วนมาก สามารถกระทำได้โดยปราศจากการควบคุม ยกเว้นการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่จำเป็นจะต้องมีการดำเนินการพิเศษเพิ่มเติม
8.1 ข้อบังคับในคุณสมบัติของนักปฏิบัติการทางการแพทย์จากต่างประเทศ
นักปฏิบัติการทางการแพทย์จากต่างประเทศ จะสามารถให้บริการทางการแพทย์ในจีนได้หากมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ โดยคุณสมบัติที่จำเป็น จะแตกต่างไปตามประเภทของนักปฏิบัติการทางการแพทย์
8.2 ความรับผิดชอบต่อสวัสดิการสังคมของลูกจ้างท้องถิ่น
ธุรกิจรักษาพยาบาลในฐานะนายจ้าง จะต้องจัดตั้งกองทุนสวัสดิการสังคมแก่ลูกจ้างท้องถิ่นชาวจีน โดยอัตราในการจัดตั้งเงินกองทุนนี้จะขึ้นอยู่กับเมืองที่สถาบันทางการแพทย์ตั้งอยู่
8.3 การขอวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติ
การขอวีซ่าการทำงานของลูกจ้างชาวต่างชาติจะต้องใช้จดหมายเชิญเข้าทำงานที่ได้รับจากนายจ้างซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการขอใบอนุญาตทำงานสามารถขอได้จากสำนักแรงงานท้องถิ่น และการขอใบอนุญาตพำนักอาศัยสามารถขอได้จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำกรมรักษาความสงบภายใน ในท้องถิ่น ( Entry – Exit Administrative Service Center, Public Security Bureau, 公安局出入境管理分局)
ธุรกิจรักษาพยาบาลที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติ จะต้องมีสถานประกอบการเป็นของตนเอง โดยอาจเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นที่ตั้งในการจดทะเบียนและสถานที่ในการปฏิบัติการโดยขนาดพื้นที่ของสถานประกอบการจะขึ้นอยู่กับประเภทของสถาบันทางการแพทย์ที่จัดตั้ง
ธุรกิจรักษาพยาบาลในจีน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นสำนักงานที่ปรึกษากฏหมายมืออาชีพในท้องถิ่นเพื่อยื่นเรื่องขอจัดตั้งกิจการในนามของผู้ลงทุนได้ ความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในคู่มือจัดตั้งธุรกิจรักษาพยาบาลในจีน
ภาพรวม E-Commerce จีน
ตลาด E-Commerce ของจีนนับเป็นที่น่าจับตามอง ปัจจุบันเป็นตลาด E-Commerce ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังสามารถขยายตัวต่อจากการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาลที่พร้อมเปิดกว้างสำหรับตลาดสินค้านำเข้า เช่น จัดตั้งพื้นที่ทดลอง Cross Border E-Commerce (CBEC) ใน 35 เมือง และขยายวงเงินด้านภาษีสำหรับการสั่งซื้อสินค้านำเข้าทางออนไลน์ เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเริ่มบุกตลาด E-Commerce จีน
ขนาดของตลาด E-Commerce จีน (ณ ธ.ค. 2018)
ข้อมูลจาก : the 43rd china statistical report on internet development
บทความที่มีประโยชน์เกี่ยวกับ การเปิดร้านค้าออนไลน์ในจีน
– ผู้ประกอบไทยควรรู้ ศาลอินเตอร์เน็ตและกฎหมาย e-commerce ใหม่ของจีน
– รู้จักกับ Cross-Border E-Commerce ของแดนมังกร
– เรียนรู้ตลาดขาช้อป Cross Border E-Commerce ในแดนมังกร
– ศึกษาขั้นตอนการเปิดร้านค้าออนไลน์ Tmall.com ของบริษัท King Power
– How to do online business in China? มารู้จักวิธีเปิดร้านออนไลน์ใน Taobao.com กันเถอะ!!
– เปิดร้านค้าออนไลน์ในเว็บ Taobao.com แล้ว ทำอย่างไรจะให้ร้านค้านั้นเป็นที่รู้จัก
** ข้อมูลที่จัดทำขึ้นมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และถือเป็นลิขสิทธิ์การจัดทำ ของศูนย์ข้อมูล เพื่อธุรกิจไทยในจีน ซึ่งท่านสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ในลักษณะที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้โปรดอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลเพื่อ ธุรกิจไทยในจีน www.wordpress-348433-3180049.cloudwaysapps.com” ทุกครั้ง เมื่อมีการนำข้อมูลไปใช้ต่อ
** อนึ่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการนำข้อมูลไปใช้ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดมาจาก การวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เท่านั้น ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีนซึ่งเป็นผู้จัดทำ ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลไปใช้ต่อ และ ข้อมูลดังกล่าวไม่ถือเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใด
ลิขสิทธิ์ © พ.ศ. 2556 ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง