ยักษ์ใหญ่พลังงานแสงอาทิตย์จีนล้มละลาย สะท้อนสภาวะการผลิตล้นเกิน

25 Mar 2013

เมื่อราวกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท Wuxi Shangde ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ประกาศล้มละลาย เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสภาวะที่ไม่ค่อยสดใสนักสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของจีน จากสถิติ ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ราคาของอุปกรณ์ดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 1.4 ดอลลาร์สรอ.ต่อวัตต์ เหลือเพียง 0.7 ดอลลาร์สรอ.ต่อวัตต์ในเวลานี้

ในปี 2554 ตลาดจีนมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมด้านอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 262 แห่ง ตัวเลขดังกล่าวลดเหลือเพียง 112 แห่งในปีที่ผ่านมา ขณะที่อุปกรณ์ที่ผลิตได้มีปริมาณเพิ่มเป็น 45 ล้านกิโลวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 700 ของปี 2552 เห็นได้ว่า อุปทานของอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาอย่างรุนแรง และมากกว่าครึ่งต้องปิดกิจการลง

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจีนมากกว่าร้อยละ 90 พึ่งพาตลาดในต่างประเทศ จากสถิติชี้ว่า ปัจจุบัน อุปทานของอุปกรณ์ดังกล่าวในตลาดโลกมีมากกว่าความต้องกว่าถึง 1.5-2 เท่า กอปรกับการบังคับใช้ “2 ภาษี” ของสหรัฐและกลุ่มประเทศยุโรป อันได้แก่ ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่อัตราร้อยละ 18.32-249.96 และภาษีตอบโต้การอุดหนุนชดเชยที่อัตราร้อยละ 14.78-15.97 ทำให้การส่งออกอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนได้รับผลกระทบอย่างหนัก

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปทานล้นตลาดนั้น ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ผู้ประกอบการควรยกระดับเทคโนโลยี เพื่อลดต้นทุนการผลิตและขยายตลาดภายในประเทศ ปัจจุบัน ต้นทุนการติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนอยู่ที่ประมาณ 1,000 หยวนต่อ 1.5 ตารางเมตร สมมติว่า จะติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวบนหลังคาขนาด 150 ตารางเมตร ต้นทุนก็จะเพิ่มเป็นกว่า 1 แสนหยวน ทั้งนี้ ยังต้องรวมต้นทุนอุปกรณ์เสริมอีกประมาณ 1 แสนหยวน ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนที่สูงเกินกว่าบุคคลทั่วไปจะเลือกใช้

อีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาต้นทุนที่สูงคือการอาศัยการอุดหนุนจากภาครัฐและการแบ่งเบาภาระโดยธนาคาร ผู้เชี่ยวชาญได้ยกตัวอย่างประเทศเยอรมัน ซึ่งประสบความสำเร็จในการส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน โดยผู้มีความประสงค์จะใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพียงไปกรอกรายละเอียดที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง จากนั้น หน่วยงานดังกล่าวจะติดต่อธนาคารให้ไปประเมินต้นทุนที่ต้องใช้ พร้อมทั้งให้เงินกู้สำหรับติดตั้ง นับว่าเป็นวิธีที่สะดวกและแบ่งเบาภาระของผู้ใช้ได้อย่างมาก

ถึงแม้ว่าปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงสูงเมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินหรือพลังงานน้ำ และสภาวะตลาดได้เข้าสู่สภาวะอุปทานล้นเกิน แต่หากพิจารณาแนวโน้มพลังงานทางเลือกในอนาคต ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่อาจมองข้าม เพียงอาจต้องใช้ระยะเวลาปรับตัวสักช่วงหนึ่งเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน ณ นครเฉิงตู

ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ข่าวยอดนิยม

อ่านข่าวอื่น

BACK TO TOP

กลับขึ้นด้านบน