คาดมาตรการอุดหนุนรถยนต์พลังงานทดแทนฉบับใหม่ออกหลังการประชุม 2 สภา รัฐบาลกลางและท้องถิ่นกับเกมส์ผลประโยชน์
1 Mar 2013แม้การส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานทดแทนจะเป็นเรื่องดี แต่การผลักดันประเด็นดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยในเดือนพฤษภาคม 2553 กระทรวงการคลังของจีนได้ออก “ระเบียบการปฏิบัติชั่วคราวว่าด้วยการอุดหนุนการซื้อรถยนต์พลังงานทดแทนส่วนบุคคลในพื้นที่ทดลอง” กำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนตามมาตรฐานที่กำหนด ได้รับเงินอุดหนุน โดยคำนวณตามขนาดกำลังไฟฟ้าของรถยนต์ที่ 3,000 หยวนต่อ 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (Kilowatt-hour–KWh) จากสูตรการคำนวณนี้ รถยนต์ไฟฟ้าประเภทเสียบปลั๊ก ไฮบริด (Plug-in Hybrid) จะได้รับการอุดหนุนสูงสุดคันละ 50,000 หยวน ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า 100% จะได้รับการอุดหนุนสูงสุดคันละ 6 หมื่นหยวน โดยระเบียบชั่วคราวดังกล่าว มีกำหนดใช้ระหว่างปี 2553-2555
เพื่อตอบรับกับมาตรการอุดหนุนดังกล่าว รัฐบาลท้องถิ่นต่างทยอยออกมาตรฐานกฎเกณฑ์ของเมืองของตน โดยในเดือนกรกฎาคม 2553 เซินเจิ้นกำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าประเภทผสม EV/HEV (Electric Vehicle/Hybrid Electric Vehicle) ได้รับเงินอุดหนุนคันละ 3 หมื่นหยวน และรถยนต์ไฟฟ้า 100% ได้รับเงินอุดหนุนคันละ 6 หมื่นหยวน หลังจากนั้น 1 เดือน หังโจวก็ออกมาตรการอุดหนุนโดยใช้ระดับการชดเชยเดียวกับเซินเจิ้น ในเดือนเมษายน 2555 ปักกิ่งก็ออกมาตรการดังกล่าวโดยยึดเอาระดับการชดเชยของหังโจวและเซินเจิ้นเป็นแบบ
อย่างไรก็ดี เมืองอื่นๆก็มีระดับการชดเชยที่แตกต่างออกไป เช่น ที่เซี่ยงไฮ้ ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าประเภทเสียบปลั๊ก ไฮบริด ได้รับเงินอุดหนุนคันละ 3 หมื่นหยวน รถยนต์ไฟฟ้า 100% ได้รับเงินอุดหนุนคันละ 4 หมื่นหยวน ขณะที่กว่างโจวและเหอเฝย ต่างกำหนดเพียงว่า เงินอุดหนุนที่ให้กับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่คันละ 1 หมื่นหยวน และบางเมืองก็ไม่ได้ออกมาตรการอุดหนุนใดๆ
จากความแตกต่างของเงินอุดหนุน ทำให้นโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานทดแทนไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร อีกทั้งแต่ละท้องที่มีแนวโน้มปกป้องผลประโยชน์ในพื้นที่ของตน นอกจากนี้ การให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ให้เงินอุดหนุนการก่อสร้างสาธารณูปโภคจำเป็นอย่างสถานีเติมไฟ ก็ทำให้ปริมาณการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้างต่ำ โดยจาก “แผนพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานทดแทนและประหยัดพลังงาน 2555-2563” ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2558 บนท้องถนนของจีนจะมีผู้ใช้รถไฟฟ้าถึง 5 แสนคัน และจะเพิ่มถึง 5 ล้านคันภายในปี 2563 ทว่า จากตัวเลขล่าสุด ตัวเลขรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการของรัฐมีเพียง 27,432 คัน โดยในจำนวนนี้ มีถึง 23,032 คันที่เป็นการซื้อโดยภาครัฐเอง
ด้วยเหตุนี้ จึงมีข่าวว่า รัฐบาลกลางอาจหันมากำหนดมาตรฐานการชดเชยให้อยู่ในระดับเดียวกันทั้งประเทศ ต่อความเป็นไปได้นี้ ผู้ที่เห็นด้วยมองว่า จะช่วยให้การบังคับใช้มาตรการอุดหนุนดังกล่าวเป็นไปอย่างเป็นระบบมากขึ้น และยังช่วยขจัดปัญหาการปกป้องผลประโยชน์ของแต่ละท้องที่ ที่ทำให้รถยนต์จากพื้นที่หนึ่งเข้าสู่ตลาดของอีกพื้นที่หนึ่งได้ยาก สำหรับผู้ที่คัดค้านมองว่า การใช้มาตรฐานการอุดหนุนเหมือนกันทั้งประเทศ เป็นการลดทอนความสามารถในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของท้องถิ่นต่างๆ เช่น ในพื้นที่ที่มีระดับพัฒนาสูงอย่างเซินเจิ้น ต้องการให้เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าสูง เพื่อจูงใจให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเซินเจิ้น ขณะที่บางพื้นที่อาจยังไม่มีศักยภาพดังกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่า จะได้เห็นความคืบหน้าของมาตรการการอุดหนุนรถยนต์พลังงานทดแทนฉบับใหม่ภายหลัง “การประชุมสองสภา” ที่จะจัดขึ้นต้นเดือนมีนาคมนี้