“เจียงซู” กับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
21 Feb 2022เจาะลึก YRD กับบทบาทศูนย์กลาง วทน. ชั้นนำของจีน
“เจียงซู” กับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เป็นที่ทราบกันดีว่า เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี (Yangtze River Delta: YRD) ซึ่งประกอบด้วยนครเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อเจียง และมณฑลอานฮุย เป็นพื้นที่สภาพเศรษฐกิจพัฒนารวดเร็วและมีมูลค่า GDP รวมเกือบ 1 ใน 4 ของทั่วทั้งจีน โดยปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ YRD ในวันนี้เป็นพื้นที่ชั้นนำของจีนนั่นก็คือ การมุ่งเน้นใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
งานสัมมนาของ Capital Institute of Science and Technology Development Strategy (CISTDS) เมื่อต้นปี 2565 ได้ประกาศรายชื่อเมืองที่มีดัชนีการพัฒนาทางด้าน วทน. สูงสุด 20 อันดับแรกประจำปี 2564[1] ซึ่งในจำนวนนี้มีเมืองในเขต YRD ถึง 8 เมือง นับเป็นสถิติสูงสุดเมื่อเทียบกับเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ของจีน โดยแบ่งเป็น (1) นครเซี่ยงไฮ้ (2) 4 เมืองในมณฑลเจียงซู ได้แก่ นครหนานจิง เมืองซูโจว เมืองอู๋ซี และเมืองฉางโจว (3) 2 เมืองในมณฑลเจ้อเจียง ได้แก่ นครหางโจว และเมืองหนิงโป (4) 1 เมืองในมณฑลอานฮุย คือ นครเหอเฝย
แต่ละพื้นที่ในเขต YRD มีทั้งความโดดเด่นด้านการพัฒนา วทน. ที่แตกต่างกันและสอดคล้องกัน ซึ่งสามารถ จะขยายความร่วมมือกับไทยได้ในหลากหลายแขนง ด้วยเหตุนี้ ศูนย์ BIC จึงขอนำเสนอบทความ เรื่อง “เจาะลึก YRD กับบทบาทศูนย์กลาง วทน. ชั้นนำของจีน” โดยจะแบ่งเป็นทั้งหมด 4 ตอน ซึ่งแยกเป็นแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน
สำรวจเจียงซู.. เรียนรู้แผนพัฒนา วทน. เฉพาะทาง
“เจียงซู” ในฐานะหนึ่งในมณฑลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงของจีน (มี GDP เป็นอันดับที่ 2 ของจีนรองจากมณฑลกวางตุ้ง) ไม่เพียงแต่โดดเด่นในภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่ทันสมัยแล้ว ยังไม่มองข้ามความสำคัญด้าน วทน. ด้วย โดยได้จัดทำแผนพัฒนา วทน. ภาพรวมและแผนพัฒนาบุคลากรด้าน วทน. ขึ้นเป็นการเฉพาะภายใต้กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (ค.ศ. 2021 – 2025) ซึ่งเป็นการส่งเสริม วทน. อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรสำหรับรองรับ “digital transformation” รวมถึง “digital industrialization” โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
- ตั้งเป้าหมายเมื่อถึงปี 2568 จะมีงบประมาณ R&D คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.2 ของ GDP มีมูลค่าการผลิตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของมูลค่าการผลิตของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด[2]
- มุ่งเน้นบรรลุเป้าหมายการลดระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งเสริมการวิจัยเทคโนโลยีสะอาด การใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ปฏิรูปการใช้ดิจิทัลเชิงลึก เร่งการยกระดับเครือข่าย 5G เป็น 6G โดยเมื่อถึงปี 2566 เจียงซูจะมีสถานี 5G รวมมากกว่า 200,000 แห่ง
- ส่งเสริมการสร้าง influential hub ระดับ first-class เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถด้าน วทน. จากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ คาดว่าภายในปี 2568 จะสามารถดึงดูดได้กว่า 960,000 คน (นับเป็นจำนวนมากอันดับต้น ของจีน) เพื่อร่วมพัฒนาการวิจัย การทดลอง และสร้างนวัตกรรมใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม.. ตอบโจทย์ Carbon Neutrality
ด้วยเจียงซูเป็นหนึ่งในพื้นที่ฐานอุตสาหกรรมสำคัญของจีน จึงทำให้เป็นมณฑลที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศรองจากมณฑลกวางตุ้งและมณฑลซานตง ซึ่งปัจจุบันจีนได้ร่วมสนับสนุนคำมั่นที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด (Emission Peak) ในปี 2573 และบรรลุการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2603 โดยเจียงซูก็ได้ให้คำมั่นว่าจะลดการใช้ถ่านหินและขยายการใช้พลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลไปจนถึง 2568 เช่นกัน
ทั้งนี้ เจียงซูได้มีมาตรการผลักดันการบรรลุ Carbon Neutrality และ Emission Peak อย่างมีคุณภาพสูง อาทิ (1) ควบคุมการพัฒนาของโครงการที่ใช้พลังงานสูงและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับสูง (2) ผลักดันการสร้าง sponge city อย่างรอบด้าน (3) มุ่งศึกษา Low-carbon technology และ (4) จัดให้ผลการดำเนินงานด้าน Carbon Neutrality และ Emission Peak เป็นตัวชี้วัดศักยภาพการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
ปัจจุบัน เจียงซูพยายามผลักดันโครงการเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาทิ
1. Wuxi Zero Carbon Technology Industrial Park (เมืองอู๋ซี) ซึ่งมีภารกิจหลักในการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสีเขียวโดยอาศัยการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และ Zero Carbon เป็นสำคัญ โดยตั้งเป้าที่จะดึงดูดวิสาหกิจ Zero Carbon กว่า 1,000 รายมาลงทุน และเพิ่มบุคลากรด้าน Zero Carbon กว่า 10,000 คนภายในปี 2568
2. The 110kV Gaoxiang (Qingshu) substation (เมืองอู๋ซี) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตไฟฟ้าแห่งแรกในจีนที่มีการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ โดยคาดว่าจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 201 ตันต่อปี
3. Guodian Taizhou Power Plant (เมืองไท่โจว) ซึ่งเป็นโครงการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ ที่สุดของจีน โดยจะดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 130,000 ตันต่อปี ในระยะที่ 1 และจะปรับปรุงกำลังการดักจับเป็น 500,000 ตันต่อปี ในระยะที่ 2
4. จักรยานพลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen-powered bikes) ของ Youon Technology (เมืองฉางโจว) ซึ่งสามารถวิ่งได้ 70 กิโลเมตรที่ความเร็วสูงสุด 23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นทางเลือกในการเดินทางแบบยั่งยืนเนื่องจากมี carbon footprint[3] เป็นศูนย์ เป็นต้น นอกจากนี้ มณฑลเจียงซูให้การสนับสนุนแผนขยายโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน (renewable energy) ถึง 39 โครงการ
พัฒนาเทคโนโลยี 5G.. เตรียมก้าวสู่ยุค IoT
ที่ผ่านมาจีนได้พยายามขยายเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ โดยเจียงซูเป็นมณฑลหนึ่งที่ได้เร่งปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้ดิจิทัลเพื่อรองรับสู่ยุค Internet of Things (IoT) ซึ่งเร่งก่อสร้างสถานี 5G อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2564 เจียงซูมีสถานี 5G รวม 102,000 แห่ง มากเป็นอันดับที่ 2 ของจีนรองจากมณฑลกวางตุ้ง และมีการใช้เครือข่าย 5G ครอบคลุมถึงรถไฟใต้ดิน ทางหลวง ท่าอากาศยาน สถานีรถโดยสารประจำทางทั่วทั้งมณฑล อาคารสำนักงานรัฐบาล ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงพยาบาลขนาดใหญ่ จุดท่องเที่ยวหลัก เป็นต้น
ทั้งนี้ เจียงซูมีตัวอย่างโครงการเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เครือข่าย 5G เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ อาทิ
1. หมู่บ้านดิจิทัลหย่งเหลียน (Yonglian Village) ซึ่งตั้งอยู่ในชนบทภายใต้การปกครองของเมืองซูโจว โดยเป็นแบบจำลองระดับชาติในการสร้างหมู่บ้านดิจิทัลเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ชนบทของจีน ซึ่งได้ประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G, big data, cloud computing, IoT, AI, blockchain แบบครบวงจร เพื่อยกระดับด้านการเกษตร โดยเกษตรกรสามารถตรวจสอบพืชผักที่ปลูกในโรงเรือนได้แบบเรียลไทม์ ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน และประหยัดค่าแรงได้ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ประโยชน์ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการยืนยันตัวตนผ่านระบบการตรวจสอบชื่อจริงและระบบจดจำใบหน้าเพื่อเข้าไปในหมู่บ้าน จึงทำให้การจัดการประจำวันของหมู่บ้านง่ายขึ้น
2. การให้บริการระบุตำแหน่งด้วย 5G ภายในอาคาร (Indoor 5G Positioning) ครั้งแรกของโลกในเมืองซูโจว มีความแม่นยำสูงในระดับ 3 – 5 เมตร ซึ่งช่วยส่งเสริมบริการที่ใช้ข้อมูลตำแหน่งให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงขึ้นอย่างมาก โดยจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของ 5GtoB เช่น การขนส่ง การผลิตในภาคอุตสาหกรรม บริการด้านการดูแลสุขภาพ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นต้น
3. รถโดยสารประจำทางไร้คนขับที่ใช้เทคโนโลยี 5G ในเมืองซูโจว ซึ่งเป็นเมืองแรกของจีนที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ โดยปัจจุบันเมืองซูโจวมีเส้นทางรถประจำทางไร้คนขับยาวที่สุดในโลกที่ 15.3 กิโลเมตร (จำนวน 4 สาย)
4.การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยี 6G โดย Purple Mountain Laboratory ในนครหนานจิงได้เปิดเผยผลวิจัยเครือข่าย 6G[4] ที่มีความเร็วสูงสุดของโลกในปัจจุบันที่ 206.25 Gbps ต่อวินาทีในสภาพแวดล้อมห้องปฏิบัติการ (เร็วกว่า 5G ถึง 10 – 20 เท่า) สามารถประยุกต์ใช้ในการสื่อสารระหว่างดาวเทียม เครื่องบินไร้คนขับ การเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน AI โดย 6G เป็นเครือข่ายการสื่อสารแบบโฮโลแกรมและ Metaverse[5] ซึ่งจะสามารถก่อเกิดเป็นการสื่อสารทางอากาศ อวกาศ และภาคพื้นดิน แบบบูรณาการได้ในอนาคต
จับมือไทย – เจียงซู.. ต่อยอดการพัฒนา วทน.
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการดำเนินการด้าน วทน. ของมณฑลเจียงซูมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแผนเศรษฐกิจดิจิทัลตามแผนพัฒนาระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 ของจีน โดยมีความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงผ่านสู่สังคมดิจิทัล การใช้ดิจิทัลเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม ซึงเป้นนะโยบายเศรษฐกิจระดับชาติ และยังคงมีแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาต่อไป จึงนับได้ว่าเป็นการดำเนินงานในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ซึ่งมีความสอดคล้องกับทิศทางของประเทศไทยที่อยู่ระหว่างการจัดทำร่างกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (ปี พ.ศ. 2566 – 2570) ที่ได้กำหนดเป้าหมายให้ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อเตรียมพร้อมมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในอนาคต
จากความโดดเด่นของเจียงซูตามที่กล่าวข้างต้น สะท้อนโอกาสความร่วมมือระหว่างไทย – เจียงซู ดังนี้
- การด้านแลกเปลี่ยนบุคลากรด้าน วทน. ซึ่งจากแผนพัฒนาบุคลากรด้าน วทน. ของเจียงซูพบว่า เจียงซูได้ตั้งเป้าหมายที่จะดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากต่างชาติจำนวนมากเพื่อร่วมกันทำงานด้าน วทน. ซึ่งไทยสามารถสร้างความร่วมมือกับเจียงซู โดยการส่งบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อศึกษาเทคโนโลยีที่น่าสนใจของเจียงซู และนำมาต่อยอดการพัฒนาของไทยในด้าน IoT ซอฟต์แวร์และการให้บริการข้อมูล พลังงานใหม่ นาโนเทคโนโลยีและ วัสดุใหม่ เครื่องจักรกล หรือวัสดุคาร์บอนใหม่ เป็นต้น
- การดึงดูดการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมในไทย โดยที่ไทยมีเป้าหมายสนับสนุนพลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (net zero) เช่นเดียวกับจีน โดยไทยมีแผนปรับแหล่งพลังงานให้ ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคตผ่านการส่งเสริมการลงทุนพลังงานสีเขียว ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า เจียงซูมีความโดดเด่นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อบรรลุเป้าหมาย net zero จึงนับเป็นโอกาสดีที่ไทยจะพิจารณาดึงดูดให้เจียงซูเข้าลงทุนในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่อย่าง EEC ซึ่งเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องมุ่งเน้นประเด็นการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การต่อยอดเทคโนโลยี 5G ในไทย ปัจจุบันผู้ให้บริการ 5G ของไทยต่างเร่งขยายสัญญานให้ครอบคลุมพื้นที่บริการมากขึ้น เพื่อรองรับทั้งการสื่อสารโทรคมนาคมและโครงการนำร่องระดับชาติที่สำคัญ อาทิ สถานีอัจฉริยะที่สถานีกลางบางซื่อ (Smart Station) โครงการนำร่องด้านการศึกษา (Smart Campus) โครงการนำร่องด้านการเกษตรดิจิทัล (Smart Agriculture) การจัดการน้ำอัจฉริยะ (Smart Irrigation) โครงการนำร่องโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ใน EEC และโครงการนำร่องบ้านฉาง 5G สมาร์ทซิตี้ (5G Smart City) เป็นต้น ซึ่งไทยสามารถ ขยายความร่วมมือกับเจียงซูเพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการ 5G ดังกล่าวได้เช่นกัน
ทั้งนี้ นครหนานจิงซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของเจียงซูแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีอุตสาหกรรมด้วย โดยรัฐบาลจีนได้ประกาศสนับสนุนให้พัฒนานครหนานจิงเป็นเมืองนวัตกรรมชั้นนำของประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญใน 3 มิติ ได้แก่ (1) การเป็นแหล่งกำเนิดนวัตกรรมที่มีอิทธิพล (2) การเป็นเมืองชั้นนำในด้าน Emission Peak & Carbon Neutrality และ (3) การเป็นเขตสาธิตการปฏิรูปกลไก ทาง วทน. โดยการสนับสนุนดังกล่าวจะช่วยให้หนานจิงเป็นหนึ่งในเมืองที่มีสำคัญด้าน วทน. ระดับชั้นนำของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไทยควรจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป
*****************************
จัดทำโดย นางสาวณัฐธิดา นิสภกุลชัย ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีนประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้
ข้อมูลอ้างอิง
- https://en.imsilkroad.com หัวข้อ Jiangsu Kunshan accelerates development of emerging industries with investment of nearly RMB100 bln วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564
- https://en.imsilkroad.com หัวข้อ E.China’s Jiangyin shows strong momentum of emerging industries วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564
- https://www.indiatoday.in หัวข้อ After Sun, China builds ‘artificial Moon’ to mimic lunar environment on Earth วันที่ 17 มกราคม 2565
- http://en.jiangsu.gov.cn หัวข้อ A Hundred Overseas PhDs Visiting Jiangsu” Program Unveiled วันที่ 17 ธันวาคม 2564
- http://en.jiangsu.gov.cn หัวข้อ Jiangsu Released Its Development Plan for Scientific and Technological Talent During the 14th Five-Year Plan Period วันที่ 21 มกราคม 2565
- https://www.nature.com หัวข้อ China creates vast research infrastructure to support ambitious climate goals วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564
- https://www.scmp.com หัวข้อ Are China’s provinces doing their bit to help hit national climate change goals? วันที่ 16 มกราคม 2565
[1] 20 เมืองแรกของจีนที่มีดัชนีการพัฒนาด้าน วทน. สูงสุดประจำปี 2564 ได้แก่ ปักกิ่ง เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ หนานจิง กว่างโจว หางโจว อู่ฮั่น ซูโจว ซีอาน จูไห่ เฉิงตู เหอเฝย เทียนจิน เซี่ยเหมิน หนิงโป อู๋ซี ชิงต่าว เจิ้งโจว ฉางโจว และฉางซา ตามลำดับ
[2] เจียงซูวางแผนสร้างระบบอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมขั้นสูงระดับชาติ 6 ด้าน ได้แก่ IoT ซอฟต์แวร์และให้การบริการข้อมูล พลังงานใหม่ นาโนเทคโนโลยีและวัสดุใหม่ เครื่องจักรกล วัสดุคาร์บอนใหม่ ปัจจุบันให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา มีงบประมาณ R&D ในสัดส่วนร้อยละ 2.95 ของ GDP
[3] Carbon Footprint คือ ปริมาณรวมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เช่น ก๊าซมีเทน ก๊าซหัวเราะ เป็นต้น ที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ (ตามข้อกำหนด ISO 14040) ตลอดวัฏจักรชีวิต ซึ่งแหล่งกำเนิดของก๊าซดังกล่าวมาจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การใช้ไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล กระบวนการในภาคอุตสาหกรรมหรือกสิกรรม เป็นต้น
[4] เครือข่ายไร้สายความเร็วระดับ 6G คือ ระบบการสื่อสารเรียลไทม์บนย่านความถี่ Terahertz ขนาด 360 – 430 GHz/ 100-200 Gbps
[5] Metaverse คือ โลกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปิดให้ผู้คนได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันได้เสมือนอยู่ในโลกจริง ไม่ว่าจะเป็นการประชุม พบปะพูดคุย ติดต่อ ท่องเที่ยว บันเทิง หรือช้อปปิ้ง โดยผ่านตัวตนที่เป้นอวตาร (avatar) ซึ่งเป็นกราฟฟิก 3 มิติ แทนตัวเราขณะทำกิจกรรม metaverse โดยได้ใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์รองรับการเข้าถึงโลกเสมือน ได้แก่ Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR)