พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน กับโอกาสและความท้าทายของไทย ตอนที่ 2 มณฑลกวางตุ้ง กับโอกาสและความท้าทายของไทย
28 Dec 2022ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (Cross-Border E-Commerce: CBEC) ได้กลายเป็นแรงผลักดันทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของมณฑลกวางตุ้ง โดยเฉพาะต่อการรักษาเสถียรภาพของการค้ากับต่างประเทศ รัฐบาลมณฑลกวางตุ้งและเมืองต่าง ๆ ในมณฑลกวางตุ้งต่างให้ความสำคัญต่อการพัฒนา CBEC และได้ประกาศมาตรการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของ CBEC อย่างต่อเนื่อง
กรมพาณิชย์มณฑลกวางตุ้งระบุ ปริมาณการนำเข้าและส่งออกในรูปแบบ CBEC ของมณฑลกวางตุ้งคิดเป็นร้อยละ 40 ของมูลค่าการนำเข้าและส่งออกในรูปแบบ CBEC ทั้งหมดของจีน โดยนับตั้งแต่ปี 2559 – 2564 มณฑลกวางตุ้งมีอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม CBEC เฉลี่ยร้อยละ 92.1 ต่อปี โดยเมื่อปี 2559 มูลค่าการค้ากับต่างประเทศในรูปแบบ CBEC มีมูลค่ากว่า 22,800 ล้านหยวน (ประมาณ 3,534 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเมื่อปี 2564 เพิ่มเป็น 331,000 ล้านหยวน (ประมาณ 51,317 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมณฑลกวางตุ้งมีจำนวนวิสาหกิจที่ดำเนินธุรกิจด้านการบริการ CBEC กว่า 1 แสนราย มากที่สุดในจีน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของบริษัท CBEC ทั้งหมดในจีนและมีคลังสินค้าในต่างประเทศกว่า 300 แห่ง อีกทั้ง ปัจจุบัน มณฑลกวางตุ้งเป็นที่ตั้งของโครงการเขตนำร่องบูรณาการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน 21 แห่ง มากที่สุดในจีน ครอบคลุมทั้ง 21 เมืองในมณฑลกวางตุ้ง
มณฑลกวางตุ้ง ตัวเลือกของวิสาหกิจ CBEC
ศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาโกลคัล (Glocal Research And Consultancy Services) เผยข้อมูลการจัดหาเงินทุนและการลงทุนของวิสาหกิจด้าน CBEC พบว่า เมื่อระหว่างเดือน ม.ค. – ส.ค. 65 จีนมีการลงทุนจัดตั้งวิสาหกิจ CBEC เพิ่มขึ้น 101 แห่ง คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 16,800 ล้านหยวน (2,604 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมณฑลกวางตุ้งเป็นที่ตั้งของวิสาหกิจ CBEC รายใหม่ 47 แห่ง มากที่สุดในจีน ในจำนวนดังกล่าวเป็นวิสาหกิจที่ตั้งอยู่ที่เมืองเซินเจิ้น 33 แห่งและนครกว่างโจว 10 แห่ง
รายงานดังกล่าว ยังเปิดเผยสาเหตุสำคัญที่ทำให้มณฑลกวางตุ้งกลายเป็นที่ตั้งของบริษัทอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจำนวนมากหลายประการ ได้แก่ (1) มณฑลกวางตุ้งมีการพัฒนาด้านอีคอมเมิร์ซในระดับค่อนข้างสูงของจีน (2) มณฑลกวางตุ้งมีพื้นที่ติดกับฮ่องกงและมาเก๊า ทำให้มีห่วงโซ่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่สมบูรณ์และเกื้อหนุนกัน (3) มณฑลกวางตุ้งมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมากเป็นอันดับ 1 ของจีนติดต่อกันกว่า 36 ปี และ (4) มณฑลกวางตุ้งเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี เครื่องจักรและมอเตอร์ไฟฟ้า สินค้าปิโตรเคมี สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
นาย Zhang Yi ผู้บริหารของ iiMedia Consulting Group ซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมาเป็นเวลานาน กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวจากสำนักข่าว Yangcheng Evening News ว่า มณฑลกวางตุ้งได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการเขตนำร่องบูรณาการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนครอบคลุมทั้ง 21 เมือง นับว่าเป็นการตอกย้ำบทบาทและความสำคัญของมณฑลกวางตุ้งในอุตสาหกรรม CBEC ของจีน และเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญของมณฑลกวางตุ้ง และกล่าวว่า ในอีก 3 – 5 ปีข้างหน้า พัฒนาการอุตสาหกรรม CBEC ของมณฑลกวางตุ้งจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนา CBEC ของจีน ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางการค้ากับต่างประเทศและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของจีน
โอกาสของไทย
การจำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม CBEC ของจีน นับว่าเป็นการสร้างโอกาสให้กับสินค้าจากต่างประเทศให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการและนักธุรกิจของไทยที่สนใจจะนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในจีนอาจพิจารณาศึกษา CBEC เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายสินค้าในจีนที่สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม โดยศูนย์ BIC เห็นว่า CBEC จะสามารถเปิดโอกาสสำคัญ ดังนี้
- โอกาสของสินค้าไทยในการเข้าถึงตลาดผู้บริโภคชาวจีนได้ง่ายขึ้น จีนนับว่ามีตลาดผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเมื่อปี 2549 จีนมีผู้ซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์เพียง 34 ล้านคนและเพิ่มขึ้นเป็น 841 ล้านคนเมื่อปี 2564 อีกทั้ง จีนยังมีนโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม CBEC โดยการกำหนดโควต้า การซื้อสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษีในมูลค่าที่กำหนด และการยกเว้นภาษีและเอกสารให้แก่สินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม CBEC ยิ่งทำให้ผู้บริโภคชาวจีนมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าของไทยได้ง่ายยิ่งขึ้น
- โอกาสสร้าง Brand Awareness ในตลาดจีน เว็บไซต์ adchina.io เผยว่า ผู้บริโภคชาวจีนกว่าร้อยละ 68 เชื่อว่าสินค้าจากต่างประเทศคุณภาพดีกว่าสินค้าจีน โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง ในมณฑลกวางตุ้งผู้บริโภคส่วนใหญ่รู้จักและคุ้นเคยกับสินค้าไทยซึ่งรับว่าเป็นข้อได้เปรียบของผู้ประกอบการที่ต้องการนำสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดในจีน และเป็นปัจจัยส่งเสริมในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคชาวจีนได้อีกทางหนึ่งด้วย
- โอกาสในการลดต้นทุนการขยายธุรกิจในจีน โดยผู้ประกอบการที่ต้องการจะเข้ามาทำตลาดสินค้าในจีนสามารถเปิดร้านหน้าบนแพลตฟอร์ม CBEC ในขณะที่ การจำหน่ายสินค้าผ่านทาง CBEC บริษัทไทยไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือการจดทะเบียนบริษัทในจีนก็สามารถเปิดร้านบนแพลตฟอร์ม CBEC เพื่อจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคชาวจีนได้ แทนการเข้ามาเช่าพื้นที่อาคารเพื่อเปิดร้านในจีน นอกจากนี้ ยังสามารถลดต้นทุนและระยะเวลานำเข้าสินค้า โดยการซื้อสินค้ารายการเดียวมูลค่าต่ำกว่า 5,000 หยวน หรือมูลค่าการซื้อต่อปีต่ำกว่า 26,000 หยวนจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าและสามารถลดภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้การดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในจีนสามารถทำได้สะดวกกว่าการค้ารูปแบบเดิม
ความท้าทาย
- การแข่งขันที่รุนแรง CBEC เป็นช่องทางการค้าที่เปิดโอกาสให้สินค้าจากทั่วโลกสามารถเข้าถึงตลาดจีนได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนมีโอกาสตัวเลือกสินค้าประเภทเดียวกันจากผู้ผลิตที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายจะต้อง “กำหนดและทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย” ก่อนนำไปปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เพื่อให้สินค้าตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่นกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันจากผู้ผลิตอื่น
- ต้นทุนแฝง ถึงแม้ว่า การจำหน่ายสินค้าผ่าน CBEC จะสามารถดำเนินการได้ง่ายและสะดวกกว่าการค้าแบบออฟไลน์ แต่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับต้นทุนแฝง อาทิ (1) ค่ามัดจำ (Deposit fee) ประมาณ 10,000 – 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มและประเภทสินค้าที่จำหน่าย โดยร้านค้าจะต้องวางมัดจำกับแพลตฟอร์มเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายกรณีที่เกิดการคืนหรือยกเลิกการซื้อสินค้า (2) ค่าบริการรายปี (Annual service fee) ประมาณ 1,000 – 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (3) ค่าบริการการจัดการสินค้า กรณีที่จัดส่งสินค้าจากคลังสินค้าทัณฑ์บนในจีน และ (4) ค่าใช้จ่ายกรณีที่สินค้าที่จัดเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนหมดอายุ เป็นต้น โดยผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาและสอบถามข้อมูลจากแพลตฟอร์มที่สนใจ เพื่อนำข้อมูลไปเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและรูปแบบของการจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้การจำหน่ายสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์ม CBEC เป็นไปอย่างราบรื่นและมีค่าใช้จ่ายอยู่ในงบประมาณที่กำหนด
- พฤติกรรมทางการตลาดในจีนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดิมการทำการตลาดในจีนนิยมใช้ประโยชน์จาก Baidu SOE ซึ่งภายหลังนักการตลาดหันมาเปิดช่องทางทางการตลาดในโซเชียลมีเดีย อาทิ Weibo และ WeChat รวมถึงยุคของการ Live ขายสินค้าโดยการว่าจ้าง KOL อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน นักการตลาดจีนหันมาใช้ TikTok หรือ Douyin หรือ RED (Xiao Hong Shu) เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยใช้ประโยชน์จากอัลกอริทึมและปัญญาประดิษฐ์บนแพลตฟอร์ม ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการจะดำเนินกิจกรรมทางการตลาด ควรพิจารณาแพลตฟอร์มและรูปแบบการดำเนินกิจกรรมที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์และกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ซึ่งการทำการตลาดที่ถูกต้องจะนำมาซึ่งความสำเร็จในการเพิ่มยอดจำหน่ายและการขยายตลาดสินค้าอื่น ๆ ในอนาคต
บทสรุป
CBEC เป็นอีกหนึ่งช่องทางการค้ากับจีนที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญและพิจารณาศึกษาข้อมูล เพื่อเป็นการขยายตลาดสินค้าของไทยให้สามารถเข้ามาจำหน่ายในจีนมากขึ้น ซึ่งการศึกษาข้อมูลของแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึงพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคยังคงเป็นกุญแจสำคัญที่อาจทำให้ธุรกิจของท่านประสบความสำเร็จในจีน
อย่างไรก็ดี นโยบาย CBEC ของจีน ไม่เพียงแต่สนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในจีนเท่านั้น CBEC ยังสนับสนุนให้ SMEs จีนส่งออกสินค้าเพื่อจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังสนับสนุนให้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าของจีนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศด้วย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนได้มอบสิทธิประโยชน์ด้านภาษี อาทิ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีผู้บริโภค (CT) สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ในต่างประเทศ รวมถึง ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ให้แก่วิสาหกิจขนาดเล็กที่ดำเนินธุรกิจ CBEC และมีรายได้ปีละไม่เกิน 1 ล้านหยวน (148,080 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งนโยบายดังที่กล่าวมานี้ ทำให้ราคาสินค้าจากจีนที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในไทยมีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับราคาสินค้าไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรใช้ประโยชน์จากนโยบายในการนำสินค้าไทยเข้ามายังตลาดจีนมากขึ้น เพื่อให้ไทยเศรษฐกิจไทยมีดุลการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นต่อไป