นโยบายการพัฒนาภาคตะวันตกในยุคใหม่ของจีน
29 May 2020ปัจจุบัน พื้นที่ภาคตะวันตกของจีนประกอบด้วยมณฑล/เขตปกครองตนเอง/เมืองที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลจีนทั้งหมด 12 แห่ง ได้แก่ นครฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน มณฑลกุ้ยโจว มณฑลยูนนาน มณฑลส่านซี มณฑลกานซู่ มณฑลชิงไห่
เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และเขตปกครองตนเองทิเบต ซึ่งมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 71.4 ของจีน และมีจำนวนประชากรคิดเป็นประมาณร้อยละ 25 (350 ล้านคน) ของจีน
สาเหตุที่ภาคตะวันตกมีการพัฒนาล้าหลังกว่าภาคตะวันออกของจีน อาทิ
- ข้อจำกัดด้านธรรมชาติ โดยภาคตะวันตกส่วนมากอยู่บนที่ราบสูง และเป็นถิ่นทุรกันดารโดยมีพื้นที่กว้างใหญ่แต่มีจำนวนประชากรน้อย ซึ่งมีความยากลำบากในการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
- ผลจากนโยบายการปฏิรูปและเปิดประเทศ โดยการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในชายฝั่งทะเลได้กระตุ้นให้ภาคตะวันออกของจีนมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นโยบายพัฒนาภาคตะวันตกไม่ได้รับผลเท่าภาคตะวันออกเนื่องจากข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม
- โครงสร้างธุรกิจ โดยภาคตะวันออกมีระบบคมนาคมทั้งทางน้ำและทางบกที่สะดวก โดยเน้นธุรกิจภาคบริการและการค้าระหว่างประเทศ ในขณะที่ภาคตะวันตกพึ่งพาธุรกิจการเกษตรและอุตสาหกรรมเป็นหลัก
- ขาดแคลนปัจจัยสนับสนุนในการพัฒนา เช่น ระดับการศึกษาล้าหลังกว่าภาคอื่น ๆ ทำให้ขาดแคลนบุคลากร รวมทั้งขาดแคลนเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนา
เป้าหมายของนโยบาย
- ภายในปี 2563 (ค.ศ. 2020) ภาคตะวันตกของจีนจะมีระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อมการประกอบธุรกิจ การเปิดตัวสู่ภายนอก และสภาพแวดล้อมด้านนวัตกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยจะเข้าสู่ “สังคมกินดีอยู่ดี” อย่างรอบด้านพร้อมกับพื้นที่อื่น ๆ ในจีน ซึ่งมีตัวชี้วัดหลัก 10 ตัว ได้แก่ (1) ตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือ GDP เฉลี่ยต่อหัวมากกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2562 GDP เฉลี่ยต่อหัวของภาคตะวันตกอยู่ที่ 7,783 ดอลลาร์สหรัฐ และ GDP เฉลี่ยต่อหัวของจีนอยู่ที่ 10,276 ดอลลาร์สหรัฐ) (2) รายได้ที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ของชาวจีนในเขตเมืองมากกว่า 18,000 หยวนต่อคนต่อปี (3) รายได้ที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ของชาวจีนในเขตชนบทมากกว่า 8,000 หยวนต่อคนต่อปี (4) ค่าสัมประสิทธิ์เองเกล (Engel coefficient: การคิดสัดส่วนของรายจ่ายที่ใช้ไปกับอาหารกับการใช้จ่ายทั้งหมด) ต่ำกว่าร้อยละ 40 (5) พื้นที่ที่พักอาศัยเฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนในเขตเมืองมากกว่า 30 ตารางเมตร (6) อัตราความเป็นเมือง (urbanization) ถึงร้อยละ 50 (7) อัตราการใช้คอมพิวเตอร์ในครัวเรือนมากกว่าร้อยละ 20 (8) อัตราการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษามากกว่าร้อยละ 20 (9) มีแพทย์ 2.8 คนต่อ ปชช. 1,000 คน และ (10) นโยบายให้เงินช่วยเหลือแก่คนที่มีรายได้ต่ำสุดในเขตเมืองครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 95 ของคนที่มีรายได้ต่ำ
- ภายในปี 2578 (ค.ศ. 2035) ภาคตะวันตกของจีนจะเข้าสู่ความเป็นสังคมนิยมทันสมัยในชั้นต้น โดยการให้บริการสาธารณะ ความสะดวกของสาธาณูปโภคขั้นพื้นฐาน และชีวิตความเป็นอยู่ของ ปชช. ในภาคตะวันตกจะเป็นระดับเดียวกันในภาพรวมเมื่อเทียบกับภาคตะวันออก และจะพยายามพัฒนาในรูปแบบที่พื้นที่ต่าง ๆ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้พื้นที่ชนชาติกลุ่มน้อยและพื้นที่ชายแดนมีความเจริญรุ่งเรือง มีความมั่นคง และมีความปลอดภัย ตลอดจนให้ ปชช. อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน
สาระสำคัญของนโยบาย
- การบรรเทาความยากจน โดยจะเร่งแก้ไขปัญหาด้านอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เยาวชนได้รับการศึกษาภาคบังคับ การเข้าถึงการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน และความปลอดภัยด้านที่พักอาศัย (两不愁三保障) เพื่อลดและป้องกัน ปชช. กลับไปอยู่ในภาวะยากจนอีกครั้ง ทั้งนี้ ปชช. ยากจนในเขตชนบทของภาคตะวันตกและอำเภอยากจนในภาคตะวันตกทั้งหมดจะหลุดพ้นจากความยากจนภายในปี 2563
- การเข้าร่วมการสร้าง Belt and Road Initiative (BRI)
(1) สนับสนุนเขตปกครองตนเองซินเจียงพัฒนาเป็นเขตศูนย์กลางบนแถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมทางทิศตะวันตก ได้แก่ ศูนย์กลางคมนาคม ศูนย์กลางทางการค้าและโลจิสติกส์ ศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการศึกษา และศูนย์กลางการให้บริการทางการแพทย์
(2) สนับสนุนนครฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน และมณฑลส่านซีพัฒนาเป็นเขตนำร่องในการเปิดตัวสู่ภายนอกในพื้นที่จีนตอนใน โดยมีนครฉงชิ่ง นครเฉิงตู และนครซีอานเป็นเมืองหลักในการเปิดตัวสู่ภายนอก รวมทั้งผลักดันโครงการสาธิตความเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์จีน (ฉงชิ่ง) – สิงคโปร์ (China (Chongqing) – Singapore Demonstration Initiative on Strategic Connectivity ซึ่งได้พัฒนาเป็น New International Land-Sea Trade Corridor (ILSTC) ในการเชื่อมต่อทางการค้าระหว่างอาเซียนกับจีนโดยผ่านทางทะเล
(3) ยกระดับความร่วมมือระหว่างมณฑลยูนนานกับภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง รวมทั้งผลักดันสร้างศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศจีน-อาเซียน (China-ASEAN Information Harbor) ตลอดจนสนับสนุนเมืองเอกของมณฑลต่าง ๆ เช่น นครคุนหมิง นครหนานหนิง นครหลานโจว นครอุรุมชี และนครฮูฮอด ในการยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค
(4) เปิดธุรกิจภาคการผลิตให้ต่างชาติลงทุนอย่างมีระเบียบ ทยอยผ่อนปรนนโยบายการเข้าถึงตลาดด้านธุรกิจภาคบริการ และยกระดับการเปิดธุรกิจเหมืองแร่ในภาคตะวันตกของจีน รวมทั้งผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าในพื้นที่ชายแดน
- การปรับสิ่งแวดล้อมการลงทุนให้ดีขึ้น โดยจะปฏิบัติตามรายการข้อจำกัด/ข้อห้ามด้านการลงทุน (negative list) สำหรับนักลงทุนต่างชาติ และรายชื่อธุรกิจที่สนับสนุนต่างชาติลงทุนในภาคตะวันตกของจีน (The Catalogue of Encouraged Industries in Western Regions) ให้เป็นไปตามหลักการ “ไม่ห้ามก็สามารถลงทุนได้” รวมทั้งปรับลดขั้นตอนขออนุมัติของหน่วยงานภาครัฐรวมถึงปรับลดเวลาในการอนุมัติโครงการก่อสร้าง ตลอดจนปรับลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และต้นทุนการใช้พลังงานในภาคตะวันตกของจีน
- ผลักดันให้มีโครงสร้างธุรกิจที่ทันสมัย โดยจะผลักดันธุรกิจ “อินเทอร์เน็ต+การรักษาพยาบาล/การศึกษา/การท่องเที่ยว” ส่งเสริมการพัฒนา e-commerce ข้ามพรมแดน
- พัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยจะผลักดันการสร้างเส้นทางรถไฟสำคัญ เช่น เส้นทางรถไฟเสฉวน-ทิเบต เส้นทางรถไฟซีหนิง-เฉิงตู เส้นทางรถไฟความเร็วสูงตามลุ่มแม่น้ำแยงซี (เซี่ยงไฮ้-ฉงชิ่ง) และเส้นทางรถไฟความเร็วสูงฉงชิ่ง-คุนหมิง เป็นต้น รวมทั้งขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังเขตชนบท
ความท้าทาย
- ขาดแคลนแพลตฟอร์มในการดึงดูดการลงทุน เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง เป็นต้น ซึ่งพบปัญหา “ไม่อยากนำธุรกิจ low-end เข้ามา แต่ก็ดึงดูดธุรกิจ high-end ยาก”
- เขตพัฒนาเศรษฐกิจและนิคมอุตสาหกรรมที่มีอยู่ขาดแคลนเงินทุนในการยกระดับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
- ขาดแคลนห่วงโซ่ธุรกิจแบบครบวงจรและมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูง
- แม้รัฐบาลกลางจีนมีนโยบายพิเศษและให้บริษัทจีนและต่างชาติได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลท้องถิ่นอาจใช้นโยบายพิเศษเฉพาะกับบริษัทจีนหรือเกิดความล่าช้าในการดำเนินการนโยบายพิเศษแก่บริษัททุนต่างชาติ เป็นต้น