อสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพยังคงเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากหนุ่มสาวชาวฮ่องกง
17 Dec 2018เมื่อไม่นานมานี้ อสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกงไม่ว่าจะเป็นห้องพักอาศัยหรืออาคารสำนักงานต่างก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีนและฮ่องกงในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐฯ การอ่อนตัวลงของค่าเงินหยวนต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ และการเริ่มเก็บภาษีห้องว่างของฮ่องกง สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลให้นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง ซึ่งส่วนมากมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ พยายามขายอสังหาริมทรัพย์ของตนเพื่อปลดหนี้ธนาคารที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และผู้จัดสรรอสังหาริมทรัพย์เองก็เริ่มปล่อยห้องว่างที่เก็บไว้เพื่อเก็งกำไรในอนาคตออกมาสู่ตลาดด้วยราคาที่ถูกลงเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ
ตามรายงานข้อมูลของหน่วยงานที่กำหนดอัตราและประเมินราคา (Rating and Valuation Department) ของรัฐบาลฮ่องกงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ราคาห้องพักอาศัยในฮ่องกงซึ่งเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดในช่วง 28 เดือนตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 และขึ้นไปสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2561 นั้นได้ปรับตัวลดลงมาแล้วร้อยละ 3.6 ในช่วงระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมา โดยลดลงมากถึงร้อยละ 2.4 ในเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยแล้วชาวฮ่องกงก็ยังคงต้องใช้เวลาเก็บเงินเดือนทั้งเดือนเป็นเวลา 19 ปีครึ่งเพื่อที่จะสามารถซื้อบ้านในตัวเมืองฮ่องกงได้สักยูนิตหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เองหนุ่มสาวยุคมิลเลนเนียลของฮ่องกงที่ยังไม่มีกำลังซื้อบ้านราคาแสนแพงในฮ่องกงจึงกำลังมองหาสถานที่ลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างในกรุงเทพฯ ซึ่งมีราคาเพียงประมาณร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานายแคลวิน ฉั่น นักวางแผนงานอีเว้นท์ อายุ 35 ปี ชาวฮ่องกง ซื้อห้องชุดขนาด 25 ตารางเมตร (หรือประมาณ 270 ตารางฟุต) จากโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงเทพฯ ด้วยราคา 580,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 2,398,155 บาท) โดยไม่ได้เข้าไปดูโครงการเลยด้วยซ้ำ เขาให้เหตุผลว่า “ด้วยงบประมาณเท่านี้ คุณไม่มีทางที่จะซื้อห้องพักอาศัยในฮ่องกงได้เลย” ห้องชุดขนาด 162 ตารางฟุต (หรือประมาณ 15 ตารางเมตร) ของโครงการ The Esplanade ในเขตถู่นหมู่นของฮ่องกงยังมีราคากว่า 3.09 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
ด้วยกำลังซื้อที่ยังน้อยนี้เอง ทำให้คนหนุ่มสาวชาวฮ่องกงอย่างนายฉั่นอีกหลายคนกลับต้องมาซื้อบ้านหลังแรกที่กรุงเทพฯ เพื่อเอาไว้ลงทุน โดยหวังว่าราคาบ้านเหล่านั้นจะเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในตัวเมือง และจะได้ทำกำไรจากการลงทุนนี้ เพื่อนำเงินไปซื้อห้องชุดในฮ่องกงในอนาคต
นายคีธ หว่อง หัวหน้าผู้จัดสรรโครงการของ Queens International Real Estate ซึ่งดูแลเรื่องการขายอสังหาริมทรัพย์ในพื้นภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนที่เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ชาวฮ่องกงและชาวจีนแผ่นดินใหญ่ โดยห้องชุดที่ขายได้ส่วนใหญ่จะเป็นห้องชุดที่มีราคาระหว่าง 600,000 ถึง 800,000 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งมักจะถูกซื้อโดยผู้ที่มีอายุระหว่าง 28 ถึง 35 ปี ที่ต้องการซื้อไว้เพื่อลงทุน
คอนโดมิเนียมเมโทร สกาย ประชาชื่น ที่มีห้องชุดทั้งสิ้น 1,320 ยูนิต และจะตั้งอยู่ใกล้กับสถานีบางซื่อแกรนด์
สเตชั่นซึ่งในอนาคตจะเป็นสถานีหลักสำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมต่อกรุงเทพฯ และนครคุนหมิงของจีน มีชาวฮ่องกงซื้อไปแล้วมากถึงร้อยละ 15 ของยูนิตทั้งหมด
หากปัญหาราคาบ้านของฮ่องกงที่สูงเกินกำลังซื้อของคนในประเทศยังคงมีอยู่เรื่อยๆ ต่อไปแบบนี้ และหากประเทศไทยสามารถพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้ตามที่วางแผนไว้ ก็เป็นไปได้ที่จะมีนักลงทุนหนุ่มสาวชาวฮ่องกงหลั่งไหลเข้ามาลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากขึ้น และอาจจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในฮ่องกงอย่าง Jones Lang LaSalle (JLL) และ Centaline Property Agency Limited คาดการณ์ไว้ว่าหากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ก็อาจทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงลดลงมากถึงร้อยละ 25 ในปีหน้า ซึ่งก็อาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยของหนุ่มสาวชาวฮ่องกงได้อีกในอนาคต
ปรับปรุงล่าสุด : 17 ธันวาคม 2561
โดย : น.ส. ณัฐชนัญ อุสาหะ
แหล่งข้อมูล : https://www.scmp.com/property และ หนังสือพิมพ์ Epoch Times เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2018
เครดิตรูปจาก: https://www.scmp.com/property และ https://www.home.co.th/images/img_v/img_Directory/20180615-094538931-m2.jpg