ชี้โอกาสธุรกิจ(ไทย)ในตลาด “กุ้งเครย์ฟิช” กว่างซี(จีน)
23 Apr 2025
กฤษณะ สุกันตพงศ์ เขียน
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC)
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง
เมื่อ “กุ้งเครย์ฟิช” (Crayfish) เริ่มออกสู่ตลาด นั่นเป็นสัญญาณการเริ่มต้นเข้าสู่ ‘ฤดูร้อน’ ของประเทศจีน หลายท่านอาจสงสัยว่า “กุ้งเครย์ฟิช” คืออะไร “กุ้งเครย์ฟิช” หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ “กุ้งก้ามแดง” ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ล็อบสเตอร์น้ำจืด” เนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อกั้งผสมเนื้อปู ด้วยหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกุ้งล็อบสเตอร์ทะเล ชาวจีนจึงเรียกกุ้งชนิดนี้ว่า “เสี่ยวหลงเซีย” (小龙虾) หรือกุ้งล็อบสเตอร์น้อย
วิวัฒนาการการเลี้ยง “กุ้งเครย์ฟิช” ในจีนเริ่มต้นจากใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ (เลี้ยงกบ) และเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม ก่อนจะกลายเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ‘ดาวรุ่ง’ ในจีนที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และเป็นเครื่องมือ “แก้จน” ในหลายพื้นที่ของจีนในรายงาน China Crayfish Industry Development Report (2024) ที่จัดทำโดย China Society of Fisheries (中国水产学会) ระบุว่า อุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิชในประเทศจีนมีแนวโน้มเติบโตรวดเร็วและต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมประมงที่มีห่วงโซ่อุตสาหกรรมครบวงจร (ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ) และมีมูลค่าการผลิตโดยรวมมากที่สุด กล่าวได้ว่า “เสี่ยวหลงเซีย” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีอนาคตสดใสในจีน

ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิชของประเทศจีน ปี 2566 มีดังนี้
- พื้นที่เพาะเลี้ยง 12.29 ล้านไร่ (เล็กกว่าพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และใหญ่กว่าจังหวัดกาญจนบุรีเล็กน้อย) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.36 จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยเป็น “วิถีการเกษตรแบบยั่งยืน” ด้วยการผสมผสานการเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชร่วมกับการปลูกข้าวในแปลงนา คิดเป็นพื้นที่ 10.54 ล้านไร่
- ปริมาณผลผลิตรวม 3.161 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.35 (YoY) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.26 ของผลผลิตการเลี้ยงสัตว์น้ำจืดในประเทศจีน ในจำนวนนี้ เป็นผลผลิตจากพื้นที่เกษตรผสมผสานที่กล่าวข้างต้น 2.75 ล้านตัน
- ปริมาณการแปรรูป 1.402 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.24 (YoY) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.36 ของปริมาณผลผลิตรวม โดยเฉพาะกลุ่มอาหารพร้อมบริโภค (Ready to Eat) และอาหารพร้อมปรุง (Ready to Cook) ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยในปัจจุบัน
- การเลี้ยงสัตว์น้ำจืดในประเทศจีน กุ้งเครย์ฟิชมีปริมาณผลผลิตสูงเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศจีน (รองจากปลาเฉาหรือปลากินหญ้า ปลาลิ่นหรือปลาเกล็ดเงิน และปลาซ่งหรือปลาหัวโต ซึ่งล้วนเป็นปลาน้ำจืดในกลุ่มปลาตะเพียน) คาดว่าปริมาณความต้องการของตลาดจีนจะยังคงรักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
“กุ้งเครย์ฟิช” มีความทนทานและสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ มีอัตราการรอดสูง เจริญเติบโตเร็ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมาก และขยายพันธุ์หรือเพาะลูกพันธุ์ได้โดยไม่ต้องใช้น้ำเค็ม การเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชในจีน ภาครัฐเน้นส่งเสริมให้เกษตรกรทำฟาร์มกุ้งเครย์ฟิชในรูปแบบเกษตรผสมผสานอย่าง “การเลี้ยงกุ้งในแปลงนา” ซึ่งเป็นวิถีการเกษตรแบบยั่งยืน ต้นข้าวที่ปลูกเป็นตัวช่วยบำบัดของเสียและก๊าซแอมโมเนียที่เกิดจากการเลี้ยงกุ้ง
ที่สำคัญ การทำเกษตรแบบผสมผสาน เป็นการเพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพราะว่าการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช “ใช้เวลาสั้น ให้ผลตอบแทนเร็ว” (ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกข้าว 10 เท่า!!!) ทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมนอกจาก การทำนาเพียงอย่างเดียว ด้วยผลตอบแทนที่สูงกกว่าการปลูกข้าว เผลอ ๆ การเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชจะกลายเป็นรายได้หลักแทนการปลูกข้าวเสียด้วยซ้ำ
“กุ้งเครย์ฟิช” ช่วงไหนขายได้ราคาดี แน่นอนว่า… ต้องเป็นช่วงต้นฤดู (เดือนมีนาคม – เมษายน) และช่วงปลายฤดู(เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม) โดยเฉพาะกุ้งไซส์กลาง-ใหญ่จะมีราคาสูงเป็นพิเศษ ขณะที่ช่วงกลางฤดู (เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน) มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีทางเลือกในหาซื้อที่หลากหลาย จึงเป็นช่วงของการห้ำหั่นราคา และในช่วงฤดูหนาว กุ้งเครย์ฟิชค่อนข้างจะขาดตลาด ฟาร์มกุ้งเครย์ฟิช(ไทย) ที่กำลังมองหาตลาดจีน สามารถวางแผนการผลิตและส่งออกกุ้งเครย์ฟิชต่างฤดูกับประเทศจีน ทั้งนี้ การส่งออกกุ้งเครย์ฟิชมีชีวิตจะต้องส่งออกไปยังด่านที่ได้รับอนุญาตการนำเข้า “สัตว์น้ำมีชีวิตเพื่อการบริโภค” เท่านั้น อย่างเช่น ด่านท่าอากาศยานนานาชาติอู๋ซวีหนานหนิง (Nanning Wuxu International Airport) ซึ่งมีประวัติการนำเข้ากุ้งขาวแวนนาไม่มีชีวิตจากประเทศไทยอยู่แล้ว
ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง แหล่งผลิตกุ้งเครย์ฟิชหลัก ๆ อยู่ที่ “เมืองระดับอำเภอกุ้ยผิง” (桂平市/ Guiping City) ภายใต้การกำกับดูแลของเมืองกุ้ยก่าง ทางตะวันออกของเขตฯ กว่างซีจ้วง

ภาครัฐ-เอกชน-เกษตรกรร่วมสนับสนุนโครงการเพาะเลี้ยง “กุ้งเครย์ฟิชในนาข้าว” เน้นสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ การเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชใต้แผงโซลาเซลล์ และการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชหลังการเก็บเกี่ยวข้าวปลายฤดู (ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เมษายนของปีถัดไป) เป็นการผลิตกุ้งเครย์ฟิชนอกฤดู เพื่อเลี่ยงภาวะการแข่งขันกับแหล่งผลิตหลักในมณฑลหูเป่ย เจียงซู และเจ้อเจียง ทำให้ราคาสูงกว่าฤดูกาลปกติ
นายเฉา จิ้นเฝย (曹进飞/Cao Jinfei) เจ้าของบริษัท Guipin Yongzhen Ecological Agricultural Science and Technology Co., Ltd. (桂平市永珍生态农业科技有限公司) เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า กุ้งเครย์ฟิชของบริษัทฯ ไซส์ใหญ่ขายได้กิโลกรัมละ 150 หยวน ไซส์กลางกิโลกรัมละ 80 หยวน ไซส์เล็กและลูกกุ้งกิโลกรัมละ 50 หยวน
นอกจากนี้ ภาครัฐยังสร้างแรงจูงใจและช่วยเหลือเกษตรกรด้วยนโยบายเงินอุดหนุนสำหรับการทำแปลงเกษตรเพื่อการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช ประเภทต่าง ๆ เช่น การขุดคูน้ำตื้นสำหรับการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชในแปลงนาได้เงินอุดหนุนหมู่ละ 2,000 หยวน (หรือราวไร่ละ 4,800 หยวน) การพลิกฟื้นแปลงนาเปล่าในฤดูหนาวได้เงินอุดหนุนหมู่ละ 1,200 หยวน (หรือราวไร่ละ 2,880 หยวน) การเลี้ยงกุ้ยเครย์ฟิชในบ่อ/แปลงปลูกรากบัว ได้เงินอุดหนุนหมู่ละ 800 หยวน (หรือราวไร่ละ 1,920 หยวน)

‘ธรรมดา โลกไม่จำ’ สำหรับการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชของเมืองกุ้ยก่าง ต้องบอกว่า…. ภาครัฐใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างจุดขาย (gimmick) เพื่อเพิ่มราคากุ้งเครย์ฟิชที่ผลิตจากเมืองแห่งนี้ ภายใต้คอนเซปต์ “กุ้งเครย์ฟิชเซเลเนียมสูง” (Selenium) เนื่องจากพื้นดินในเมืองกุ้ยก่างอุดมไปด้วยแร่ธาตุเซเลเนียม ซึ่งแร่ธาตุดังกล่าวมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและเส้นเลือด ทำให้ขายได้ราคาดีกว่ากุ้งเครย์ฟิชทั่วไป
นอกจากจะเป็นการสร้างอัตลักษณ์จากจุดแข็งในท้องถิ่นให้แก่ตัวสินค้าแล้ว ยังเป็นการต่อยอดสู่ “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” (Geographical Indication ) ของสินค้าด้วย อย่างที่หลายท่านคงพอคุ้นหูกับชื่อ “ไข่เค็มไชยา กาแฟดอยช้าง หมูย่างเมืองตรัง โอ่งมังกรราชบุรี ส้มโอนครชัยศรี หอยนางรมสุราษฎร์ธานี สับปะรดภูแล” ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ของไทย ภาคธุรกิจไทยสามารถพัฒนาสินค้าเกษตรไทยที่เป็น “สินค้า GI” พร้อมทั้งเสริมสร้างการประชาสัมพันธ์ให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างการจดจำ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่จะส่งไปบุกตลาดจีนได้
แม้ว่าตลาด “กุ้งเครย์ฟิชเซเลเนียมสูง” จะดูเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่มีการแข่งขันน้อยกว่าตลาดทั่วไป เน้นตอบโจทย์เทรนด์ตลาดสินค้า(เกษตร) เพื่อสุขภาพในจีนที่กำลังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อระดับกลาง-สูงในหัวเมืองหลักและรอง เพราะ ‘คนมีตังค์’ ส่วนใหญ่ไม่ใช้เหตุผลด้านราคามาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ
นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ตลาดกุ้งเครย์ฟิชในประเทศจีนมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว เมนูกุ้งเครย์ฟิชมี ‘ความหลากหลาย’ มากขึ้น เรียกได้ว่า… อร่อยได้ตั้งแต่ร้านข้างทาง ที่บ้าน ไปจนถึงภัตตาคารเลยทีเดียว

ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2567 ในประเทศจีนมีร้านเสี่ยวหลงเซียมากกว่า 99,000 ร้าน ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศจีน โดยเฉพาะที่มณฑลเจียงซู กวางตุ้ง และเจ้อเจียง นอกจากนี้ พบว่า ระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัวในร้านเสี่ยวหลงเซีย ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 100-150 หยวน (สัดส่วนร้อยละ 37.4) และ 150-200 หยวน (สัดส่วน ร้อยละ 15.27
นอกจากเมนู Signature อย่าง “กุ้งเครย์ฟิชผัดซอส หม่าล่า” (麻辣小龙虾) “กุ้งเครย์ฟิชรสสไปซี่” (香辣小龙虾) “กุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียม” (蒜香小龙虾) ที่ชาวจีนนิยมทานแกล้มกับเบียร์ยามค่ำคืนแล้ว ร้านที่ขายอาหารเฉพาะด้าน อย่างเช่นร้านชาบูหม้อไฟชื่อดัง Haidilao (海底捞) ยังต้องมี “กุ้งเครย์ฟิช” เป็นเมนูเสริมไว้ตอบโจทย์ลูกค้า หรือแม้กระทั่งยักษ์ใหญ่วงการฟาสต์ฟู้ดโลกอย่าง KFC และ Pizza Hut เองก็ยังต้องมีเมนูพิเศษเฉพาะช่วงฤดูกาล “เสี่ยวหลงเซีย” ไว้กระแทกใจผู้บริโภคชาวจีนเช่นกัน
นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุตสาหกรรมการแปรรูป “เสี่ยวหลงเซีย” มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของตลาดออนไลน์และความรวดเร็วทันสมัยของระบบงานโลจิสติกส์และห่วงโซ่ความเย็น โดยเฉพาะเมนู “เสี่ยวหลงเซีย” ในกลุ่มอาหารพร้อมบริโภค และอาหารพร้อมปรุง โดยธุรกิจแปรรูปส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในมณฑลหูเป่ย หูหนาน อันฮุย เจียงซู และเจียงซี
ในรายงาน China Crayfish Industry Development Report (2024) ชี้ผลสำรวจจากการเก็บตัวอย่างธุรกิจแปรรูป “เสี่ยวหลงเซีย” จำนวน 96 ราย พบว่า ปี 2566 ธุรกิจแปรรูปเหล่านี้มีรายได้จากการขายรวม 11,300 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.7 (YoY)

โอกาสที่ผู้เล่น(ไทย)สามารถนำไปต่อยอดการทำธุรกิจ ในรายงานฯ ระบุว่า แม้ว่าการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชทำเป็นระบบอุตสาหกรรม แต่การเพาะพันธุ์และอนุบาลลูกกุ้งเครย์ฟิชยังคงเป็นจุดอ่อนในห่วงอุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิชในจีน ฟาร์มเพาะและขยายพันธุ์กุ้งยังมีจำนวนไม่มาก ส่งผลให้คุณภาพพันธุ์กุ้งถดถอย กุ้งมีขนาดเล็กลง อัตราการรอดต่ำลง และผลผลิตลูกกุ้งไม่แน่นอน จึงเป็นโอกาสสำหรับฟาร์มกุ้งเครย์ฟิชไทยในการส่งออก “พันธุ์ลูกกุ้งคุณภาพ” และโอกาสสำหรับผู้ผลิตอาหารกุ้งและอาหารเสริมกุ้งเครย์ฟิช โดยเฉพาะอาหารเสริมแบบโพรไบโอติกที่สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพของชาวจีน
นอกจากกุ้งเครย์ฟิชมีชีวิตแล้ว ตลาดจีนมีความต้องการผลิตภัณฑ์กุ้งเครย์ฟิชแปรรูปไม่น้อย ทั้งการแปรรูปขั้นต้น (กุ้งแกะเปลือกไว้หาง กุ้งแกะเปลือกถอดหาง และกุ้งทั้งตัว) ซึ่งช่วยตอบโจทย์ผู้บริโภคในการนำกลับไปปรุงต่อ โดยเฉพาะ “กุ้งเครย์ฟิชแกะเปลือกไว้หาง” ได้รับความนิยมจากร้านอาหารและผู้บริโภคมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์กุ้งเครย์ฟิชพร้อมปรุงหรือพร้อมรับประทานที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเครย์ฟิชผัดซอสหม่าล่า กุ้งเครย์ฟิชรสสไปซี่สไตล์หูหนาน กุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียม จึงเป็นโอกาสในธุรกิจไทยจะสามารถต่อยอดอุตสาหกรรมเพื่อสร้างเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าเกษตรไทย ทั้งกลุ่มธุรกิจแปรรูปพร้อมปรุงหรือพร้อมรับประทาน “กุ้งเครย์ฟิชปรุงรสต้มยำกุ้งสไตล์ไทย” หรือเมนูสร้างสรรค์อื่น ๆ ที่คงเอกลักษณ์ ‘ความเป็นไทย’ ดึงดูดใจผู้บริโภคชาวจีน รวมถึงผู้ผลิตเครื่องปรุงรสไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสสไตล์ไทย ควบคู่กับการสร้างสรรค์เมนูอาหารไทยที่มีกุ้งเครย์ฟิชเป็นส่วนประกอบหลัก ให้ผู้บริโภคชาวจีนได้เข้าใจและเข้าถึงกรรมวิธีการปรุงในแต่ละเมนู
ท้ายสุด คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสกัดสารไคติน-ไคโตซานจากเปลือกกุ้ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอาหารเสริมลดน้ำหนัก หรือเป็นสารประกอบที่ใช้เติมในอาหาร (สารกันบูด สารเคลือบผลไม้ และฟิล์มถนอมอาหาร) ที่สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพของชาวจีน
บีไอซี เห็นว่า แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิช และแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรในเขตฯ กว่างซีจ้วง เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจและสามารภนำไปประยุกต์ใช้สำหรับทุกภาคส่วนของประเทศไทย รวมถึงการแสวงหาลู่ทางความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และการวิจัยพัฒนา (R&D) ร่วมกับกว่างซี จึงเป็นโอกาสที่สินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปของไทยจะเข้าไปเจาะตลาดจีนได้ไม่ยาก โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่มีตัวสินค้าและมีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดจีนอยู่แล้ว สามารถเริ่มต้นธุรกิจด้วยการนำสินค้าไปทดลองตลาดจีนผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce หรือการหาพันธมิตรทางธุรกิจช่วยทำตลาด หรือการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในจีน อาทิ China-ASEAN Expo ที่นครหนานหนิง China International Import Expo ที่ นครเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น
สิ่งสำคัญ สินค้าไทยจะต้องรักษามาตรฐานคุณภาพ และมีกิมมิกน่าดึงดูดใจ เพราะด้วยค่านิยมและความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้านำเข้า (มากกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ) และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนเต็มใจควักกระเป๋าจ่ายเพื่อแลกกับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
**************************