พัฒนาการของเมืองเซินเจิ้นในช่วง 40 ปี
27 Oct 2020โดยเนตรนภา คงศรี กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว
รัฐบาลเมืองเซินเจิ้นได้จัดให้มีพิธีฉลองครบรอบ 40 ปีของการจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา งานดังกล่าวถือเป็นงานสำคัญที่แสดงถึงความสำเร็จและทิศทางการพัฒนาของเมืองเซินเจิ้น โดยท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางมาร่วมงานดังกล่าวด้วยตนเอง
ในฐานะที่ผู้เขียนเคยทำงานที่นครกว่างโจว และเคยเดินทางไปเยือนเมืองเซินเจิ้นเมื่อประมาณ 25 ปีก่อน ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวของท่านประธานาธิบดีสีฯ ในพิธีฉลองครบรอบ 40 ปีของการจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น ที่ว่า การพัฒนาของเมืองเซินเจิ้นในช่วงเวลาเพียง 40 ปีที่ผ่านมาเป็นการพัฒนาที่เปรียบเหมือนความมหัศจรรย์ (Miracle) เพราะในประเทศอื่น ๆ คงต้องใช้เวลาเป็น 100 ปี จึงจะสามารถพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้
เมื่อปี ค.ศ. 1980 เมืองเซินเจิ้นได้รับการจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น (Shenzhen Special Economic Zone) ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษกลุ่มแรกของจีนพร้อมกับเมืองจูไห่ เมืองซ่านโถว (มณฑลกวางตุ้ง) และเมืองเซี่ยเหมิน (มณฑลฝูเจี้ยน) ซึ่งเดิมเมืองเซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ผู้คนหาเลี้ยงชีพด้วยการทำประมง เซินเจิ้นเมื่อ 25 ปีในช่วงที่ผู้เขียนเคยไปเยือน ยังเป็นเมืองที่มีระดับการพัฒนาไม่สูงมากนัก การเชื่อมโยงด้านคมนาคมยังไม่สะดวก การเดินทางระหว่างนครกว่างโจวกับเมืองเซิ้นเจิ้นยังมีถนนทางด่วนเพียง 1 สาย และแม้ผู้เขียนจะเคยได้เห็นถึงความรวดเร็วในการพัฒนาประเทศของจีนในช่วงที่เคยทำงานอยู่ที่นครกว่างโจว และยังคงติดตามข่าวเกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจของจีนจากสื่อต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้เขียนต้องยอมรับว่า เมื่อได้ไปเห็นกับตาตนเองในครั้งนี้ ก็ยังรู้สึกทึ่งอย่างมากกับสภาพของเมืองเซินเจิ้นที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เซินเจิ้นในวันนี้เต็มไปด้วยตึกสูงตะหง่านระฟ้าอยู่ทั่วไป บ้านเมืองสะอาดสะอ้านและมีความทันสมัย
![]() |
|
เมืองเซินเจิ้น ปี ค.ศ. 1980 | เมืองเซินเจิ้น ปี ค.ศ. 2020 |
จากหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ เมื่อ 40 ปีก่อน เซินเจิ้นกลายเป็นเมืองแรกของจีนที่ไม่มีเขตชนบทตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบัน เมืองเซินเจิ้นมีขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน รองจากกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ และใหญ่เป็นอันดับ 1 ของมณฑลกวางตุ้ง โดยเมื่อปี ค.ศ. 2019 เมืองเซินเจิ้นมีมูลค่า GDP 2.7 ล้านล้านหยวน (3.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากเมื่อปี ค.ศ. 1980 ที่เมืองเซินเจิ้นมี GDP เพียง 270 ล้านหยวน (40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่าการส่งออกของเมืองเซินเจิ้นมีจำนวนสูงที่สุดในจีนติดต่อกัน 27 ปี มีท่าเรือที่มีปริมาณการขนส่งสินค้ามากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากท่าเรือเซี่ยงไฮ้ และท่าเรือสิงคโปร์
ปัจจุบัน เมืองเซินเจิ้นสามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “เมืองแห่งสินค้าก๊อปปี้” เป็น “เมืองแห่งสินค้าเทคโนโลยีระดับสูง” ที่สำคัญของจีน เป็นฐานการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงของโลก เช่น โทรศัพท์มือถือ iPhone แท็ปเล็ต iPad Kindle โดรน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิปเซ็ตประมวลผล และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ปัจจุบัน เซินเจิ้นมีจำนวนบริษัทเทคโนโลยีระดับสูงจำนวน 16,900 บริษัทมากเป็นอันดับ 2 ของจีน รองจากกรุงปักกิ่ง และมีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น บริษัท Huawei บริษัท ZTE บริษัท Tencent บริษัท DJI บริษัท UBTECH เป็นต้น นอกจากนี้ เมืองเซินเจิ้นยังเป็นที่ตั้งของธนาคารยีนแห่งชาติจีน (China National Gene Bank : CNGB) แห่งแรกและแห่งเดียวของจีน บริหารจัดการโดยบริษัท Beijing Genomics Institute (BGI) ซึ่ง CNGB ได้เก็บรวบรวมตัวอย่างยีนของมนุษย์ พืช สัตว์และจุลินทรีย์ไว้มากถึง 11.3 ล้านตัวอย่าง
นอกจากด้านเศรษฐกิจ ผู้เขียนยังประทับใจอย่างมากต่อแนวทางการพัฒนาของเมือง ในขณะที่เราเห็นความคึกคักของภาคเศรษฐกิจผ่านอาคารที่ทำงานที่ทันสมัย ศูนย์การค้าที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ร้านอาหาร ป้ายโฆษณาจอ LED ขนาดใหญ่ และความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาว แต่เมืองเซินเจิ้นมีพื้นที่สีเขียวกระจายอยู่ทั่วไป มีสวนสาธารณะที่ประชาชนใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ถนนสองข้างทางส่วนใหญ่จะมีต้นไม้ใหญ่ทำให้ร่มรื่นน่าเดิน สะท้อนแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainable Development) ทั้งนี้ ผู้เขียนทราบว่า รัฐบาลเซินเจิ้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยสนับสนุนให้รถสาธารณะทุกคันในเมืองไม่ว่าจะเป็นรถเมล์หรือรถแท๊กซี่ล้วนเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดซึ่งสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึงปีละ 440,000 ตัน
เมืองเซินเจิ้นในอนาคตจะยังคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือกวางตุ้ง – ฮ่องกง – มาเก๊า (Guangdong – Hong Kong – Macau Greater Bay Area) หรือเรียกว่า GBAโดยรัฐบาลจีนมีเป้าหมายที่จะพัฒนาเมืองเซินเจิ้นให้เป็น “ศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและความสร้างสรรค์” ของจีนที่มีอิทธิพลระดับโลก ปัจจุบัน เมืองเซินเจิ้นมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ (1) โครงการเขตความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระหว่างเมืองเซินเจิ้นกับฮ่องกง (Shenzhen – Hong Kong Science and Technology Innovation Cooperation Zone) เพื่อสร้างศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก และ (2) โครงการศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ระดับชาติ (Comprehensive National Science Center) ซึ่งปัจจุบันมี 3 แห่งในจีน ได้แก่ กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และนครเหอเฝย (มณฑลอันฮุย)
เมืองเซินเจิ้นจึงสามารถเป็น “ต้นแบบ” ของการพัฒนาให้กับเมืองอื่น ๆ ในจีน รวมถึงไทยได้ ทั้งนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนและพูดคุยกับหลาย ๆ ท่าน ซึ่งผู้เขียนเห็นพ้องว่า รัฐบาลจีนมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเมืองเซินเจิ้นให้ประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การที่ภาคเอกชนและประชาชนต่างร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาเมืองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยความมุ่งมั่น จนทำให้เมืองเซินเจิ้นสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผลของการพัฒนาก็ได้ประจักษ์ชัดแก่เราแล้ว
ผู้เขียนหวังว่า ผู้เขียนจะได้มีโอกาสกลับมาเยือนเซินเจิ้นอีกครั้งในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนยุคใหม่ในปี ค.ศ. 2049 ซึ่งเชื่อได้ว่า พัฒนาของเมืองเซินเจิ้นจะพลิกโฉมหน้าไปอย่างน่าทึ่งอีกขั้นหนึ่ง