โอกาส “รังนกไทย” ในตลาดจีน: เตรียมตัวไว้ก่อนเจาะตลาดจีน (ตอนที่ 3)
13 Jan 2020จัดทำโดย…นายกฤษณะ สุกันตพงศ์
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC)
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง
จีนเป็นตลาดนำเข้ารังนกที่ใหญ่ที่สุดของไทย ปัจจุบัน การบริโภครังนก ซึ่งถือเป็นสินค้าพรีเมียม ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะหมู่ชนชั้นสูงในสังคมจีนเหมือนในอดีต ชนชั้นกลางที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคมจีนเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอำนาจซื้อสูง มีความใส่ใจกับสุขภาพและความงามมากขึ้น กล้าใช้จ่ายเงินเพื่อเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพแม้ว่าราคาจะสูง เพราะบ่งบอกถึงรสนิยมและความพิเศษ จึงพูดได้ว่าเป็น “โอกาสทอง” ของผลิตภัณฑ์รังนกไทย
ประเทศที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าเราขายรังนกให้คนจีนได้แค่ 5% ของประชากรทั้งหมด นั่นเท่ากับการขายให้คนไทยทั้งประเทศ ตัวเลขนี้คงพอที่จะสร้างแรงดึงดูดให้ผู้ประกอบการไทยที่กำลังมองหาลู่ทางการค้าและการลงทุนในภาคการผลิตธุรกิจรังนกในจีนแผ่นดินใหญ่ได้มากทีเดียว
ปัจจุบัน ไทยมีผลผลิตรังนกปีละราว 200 ตัน (เศษเสี้ยวของปริมาณการบริโภคอันมหาศาลของชาวจีน) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท เมื่อรวมรังนกที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมเครื่องดื่มรังนกสำเร็จรูป ตลาดรังนกไทยจะมีมูลค่ารวมมากกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท เคยมีผู้ส่งออกรังนกดิบไทยไปจีนแบบถูกกฎหมายเปรียบเทียบราคาการจำหน่ายรังนกดิบ หากขายในไทยจะได้ราคาประมาณกิโลกรัม 80,000-120,000 บาท แต่ถ้าขายในจีนจะได้ราคาสูงสุดถึงกิโลกรัมละ 1 ล้านบาท ธุรกิจหมื่นล้านนี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศและนักธุรกิจรังนกได้ไม่น้อย
รังนกไทยมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมสูงในตลาดจีน เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของไทย และความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในแหล่งผลิต(ทะเลทางใต้) ทำให้ได้รังนกขนาดใหญ่ เนื้อรังนกมีกลิ่นหอมละมุนและเนื้อนุ่ม แม้ราคารังนกไทยจะสูงกว่าประเทศอื่น แต่ชาวจีนก็พร้อมควักกระเป๋าซื้อรังนกไทยที่มีคุณภาพสูง อย่างไรก็ดี ไม่ว่าสินค้าจะมีการออกแบบมาได้ลงตัวหรือถูกใจลูกค้าชาวจีนมากเพียงใด ด่านแรกที่ต้องฟันฝ่าไปให้ได้คือการทำให้คุณภาพถึงเกณฑ์ที่ทางการจีนกำหนด เพื่อกรุยทางไปสู่การเปิดตลาดแดนมังกรที่แท้จริง
ปี 2560 เป็นปีฟ้าหลังฝนของธุรกิจรังนกไทย หลังคำสั่งปิดประตูนำเข้ารังนกจากต่างประเทศ ฝ่ายไทยใช้เวลานานกว่า 6 ปี ในการเจรจกาเพื่อให้ฝ่ายจีนปลดล็อก “รังนกไทย” ทางการจีนได้ออกประกาศอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์รังนกของไทยตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2560 ท่านไม่ได้อ่านผิดครับ!!! “รังนกไทยไปจีนแล้ว” การกลับมาของ “รังนกไทย” ในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยต้องรักษาไว้ให้ดี ผู้ประกอบการไทยจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออกรังนกไปจีน(แบบถูกกฎหมาย)ให้ละเอียดถี่ถ้วน ตัวอย่างเช่น
- แหล่งผลิตและแหล่งรวบรวมรังนกที่ส่งออกไปจีน ทั้งรังนกถ้ำ(และรังนกบ้าน)จะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนจากกรมปศุสัตว์ของไทยและคณะกรรมการควบคุมกิจการการตรวจสอบและการรับรองแห่งชาติจีน (Certification and Accreditation Administration of the People’s Republic of China – CNCA) มีระบบควบคุมคุณภาพ การบริหารจัดการด้านสุขอนามัย กระบวนการควบคุมและป้องกันโรคระบาด การตรวจสอบสิ่งปนเปื้อน และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ตั้งแต่แหล่งผลิตไปถึงการส่งออก เพื่อให้สามารถตรวจสอบแก้ไขได้ทันท่วงทีในกรณีที่เกิดปัญหาด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ปัจจุบัน ถ้ำรังนกที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ CNCA จีนแล้วมีจำนวน 21 เกาะในจังหวัดพัทลุง ชุมพร และสุราษฏร์ธานี
- ผู้ประกอบการแปรรูปรังนกไทย ต้องได้รับการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนจาก CNCA ของจีน ซึ่งขณะนี้ มีบริษัทผู้ส่งออกรังนกของไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วเพียง 2 ราย (บริษัท สยามรังกทะเลใต้ และบริษัท สยามรังนก สากล) และรังนกที่ส่งออกจะต้องผ่านกระบวนการกำจัดขน ทำความสะอาด และมี “ใบรับรองสุขอนามัยสัตว์” จากกรมปศุสัตว์ รวมถึง “ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า” แนบไปกับการส่งออกทุกครั้งที่ส่งออกไปจีน
- ฉลากและบรรจุภัณฑ์สินค้า จะต้องมีรายละเอียดกำกับชัดเจนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ระบุชื่อผลิตภัณฑ์ น้ำหนัก ชื่อและเลขทะเบียนแหล่งผลิต ชื่อที่อยู่และเลขทะเบียนบริษัทแปรรูปรังนก วิธีการเก็บรักษา และวันเดือนปีที่ผลิต
แม้ว่าทางการจีนจะเปิดทางให้นำเข้ารังนกไทยแล้ว แต่ก็มีการตั้งเงื่อนไขให้นำเข้าได้เฉพาะ “รังนกบริสุทธิ์” ที่มีสีขาว สีเหลือง หรือสีทองเท่านั้น (ตามมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย ฉบับที่ มกษ. 6705-2557) ส่วนรังนกสีแดง หรือบ้างก็เรียกว่า “รังนกเลือด” ยังไม่ให้มีการนำเข้า ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา(อย่างไม่มีวี่แววแน่ชัด)ของฝ่ายจีน รวมถึงการขยายโควต้าการส่งออกรังนกไปจีน ซึ่งหน่วยงานภาครัฐไทยจำเป็นต้องเร่งผลักดันความคืบหน้าในการเจรจากับฝ่ายจีน
เส้นทางธุรกิจรังนกในไทยก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ประเทศไทยอนุญาตการทำสัมปทานและส่งออกรังนกถ้ำได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งไม่รวมถึงรังนกบ้าน ผลที่ตามมาคือ ผลผลิตรังนกบ้านต้องลักลอบส่งขายใต้ดินปะปนไปกับรังนกถ้ำ(ขายไปจีน) แม้ว่า พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ฉบับแก้ไขใหม่ที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 29 ธันวาคม 2562 ระบุให้ผู้เลี้ยงรังนกบ้านสามารถไปยื่นขอใบอนุญาตเก็บและครอบครองรังนกบ้านหรือรังนกคอนโดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่ยังมีกฎหมายตัวอื่นที่ยังต้องรอการปลดล็อก ทั้ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ร.บ.สาธารณสุข และ พ.ร.บ. ผังเมือง
คาดหวังว่าประเทศไทยจะเร่งหาทางออกในประเด็นด้านกฎหมายโดยเร็ว เพื่อให้รังนกไทยแข่งขันในตลาดจีนได้อย่างเต็มที่ หากยืดเยื้อต่อไป คู่แข่งคงก้าวนำเราไปอีกหลายก้าว มาเลเซียเป็นตัวอย่างที่น่าศึกษา เพราะเมื่อ 20 ปีก่อน รัฐบาลมาเลเซียได้ออกนโยบายให้สร้างบ้านรังนก พร้อมสนับสนุนให้เพาะเลี้ยงนกนางแอ่นตามมาตรฐาน GAP โดยมี FAO ให้การรับรอง ช่วยให้มาเลเซียโกยรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกไปจีนและอีกหลายประเทศทั่วโลกได้ปีละกว่า 60,000 ล้านบาท
การที่ไทยสามารถส่งออกรังนกไปจีนได้ถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ตลาดจีนมีความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์รังนกเพิ่มมากขึ้น ระดับรายได้กับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวจีน ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงเหนือรังนกคู่แข่งอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย ทำให้รังนกไทยเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน
บีไอซีเห็นว่า การพัฒนาความโดดเด่นและเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาดรังนกจีน เนื่องจากต้องแข่งขันกับผู้ผลิตภัณฑ์รังนกที่ครองตลาดมาก่อน หนึ่งในกลยุทธ์ที่สามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้ นอกจากคุณภาพของสินค้าแล้ว คือ การต่อยอดผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดนใจ และการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งการทำวิดีโอลงสื่อโซเชียล รวมถึงไลฟ์สด เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของสินค้า
นอกจากนี้ การเรียนรู้จากกรณี “ล้งผลไม้จีน” ที่รวบระบบธุรกิจในไทยก็เป็นประเด็นชวนคิดสำหรับภาคธุรกิจรังนกและประเทศไทย ในอนาคต หากตลาดรังนกในไทยเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแง่กฎหมาย นักธุรกิจชาวจีนหัวใสคงแสวงหาโอกาสเข้ามากุมระบบธุรกิจรังนกในไทยในฐานะผู้รวบรวมซื้อรังนกเพื่อจำหน่ายรังนกเข้าตลาดจีนเป็นแน่
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่ประสงค์ส่งสินค้ารังนกและผลิตภัณฑ์ไปจีน สามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับระบบการผลิตสินค้ารังนกได้ทางสำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ (สพส.) กรมปศุสัตว์ เพื่อประสานงานต่อไปยังหน่วยงาน CNCA ในการขอขึ้นทะเบียนโรงงานต่อไป และผู้ที่สนใจทำธุรกิจรังนกบ้านสามารถศึกษาแนวปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการบ้านนกแอ่นกินรังตามข้อกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
…สำหรับผู้ที่สนใจจะไปลงหลักปักธงในจีน บีไอซีจะนำท่านผู้อ่านไปรู้จักกับทำเลน่าลงทุนในตอนต่อไป….
****************************