ส่องตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กจีนในยุคเด็กเกิดน้อย
13 Oct 2022
ในปี 2564 อัตราการเกิดใหม่ของประชากรจีนลดแตะระดับต่ำสุดในรอบ 70 ปี หรือตั้งแต่ปี 2492 (ค.ศ. 1949) ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นมาปกครองประเทศ แม้ว่าในปี 2559 รัฐบาลจีนได้เริ่มอนุญาตให้ประชาชนมีบุตรได้ 2 คน และต่อมา เมื่อปี 2564 จีนประกาศอนุญาตให้คู่สามีภรรยาสามารถมีบุตรได้ถึง 3 คน พร้อมมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ถึงกระนั้น อัตราการเกิดของจีนไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่กลับมีแนวโน้มที่ลดลง
ที่มาของข้อมูล: สำนักงานงานสถิติแห่งชาติจีน
แต่เนื่องด้วยปัจจัยตัวเร่งของตลาดแม่และเด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรฐานและคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การยกระดับการบริโภคของคนจีน การเพิ่มขึ้นของอัตราการจ้างงานของสตรี และการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ทำให้การลดลงของอัตราการเกิดใหม่มีผลกระทบที่จำกัดต่อภาพรวมการเติบโตของตลาดแม่และเด็กในจีน ในทางกลับกัน ตลาดแม่และเด็กกลับยังคงสามารถขยายตัวได้เป็นอย่างดี
มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก
ข้อมูลจากสถาบันอุตสาหกรรมแม่และเด็กจีน (China Commercial Maternal and Child Industry Institute: MACII) ระบุว่า มูลค่าของตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กในจีนได้ขยายตัวจาก 2.59 ล้านล้านหยวนในปี 2560 เป็น 3.75 ล้านล้านหยวนในปี 2564 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่าร้อยละ 11 และคาดว่าในปี 2566 มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กนี้จะสามารถทะลุระดับ 4 ล้านล้านหยวนได้
พฤติกรรมผู้บริโภค
คุณแม่จีนในยุค consumption upgrade หรือยุคที่มีการยกระดับพฤติกรรมการบริโภคนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เกิดหลังยุค 90s มีการศึกษาในระดับที่สูง มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีอิสระทางการเงิน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาชีพของตน เลี้ยงลูกตามหลักวิทยาศาสตร์ และมักจะหาความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผ่านแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือ โดยคุณแม่มักจะตัดสินใจซื้อจากคำแนะนำของ
ญาติ เพื่อน ผู้เชี่ยวชาญ และเนื้อหาในแพลตฟอร์มออนไลน์
ที่มาของข้อมูล: https://www.chinapp.com/
จากผลสำรวจของบริษัท iResearch บริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อเสียงในจีน พบว่า คุณแม่ยุคหลัง 90s จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่และเด็กเฉลี่ยร้อยละ 21 ถึงร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายครัวเรือนในแต่ละเดือน โดยคุณแม่มักจะเลือกซื้อ
(1) ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด/บำรุงผิวสำหรับเด็ก
(2) ของเล่นและคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก เช่น การ์ตูน เพลงและคอร์สเรียนสำหรับเด็ก
(3) เสื้อผ้าและรองเท้า อาหาร เช่น นมผง อาหารเสริมและแคลเซียมสำหรับเด็ก
(4) ของใช้ในการเลี้ยงลูก เช่น ขวดนม เครื่องปั๊มนม รถเข็นเด็ก
(5) บริการต่าง ๆ เช่น บริการนวด บริหารพักฟื้นหลังคลอดบุตร
พฤติกรรมการซื้อของเหล่าคุณแม่ คือ จะเก็บข้อมูลและเปรียบเทียบอย่างละเอียดก่อนซื้อ โดยมองว่าราคานั้นสอดคล้องกับคุณภาพ เช่น หากคุณซื้อสินค้าในราคา 1 บาท คุณก็จะได้สินค้าคุณภาพ 1 บาท ยอมที่จะจ่ายแพงกว่าเล็กน้อยเพื่อให้ได้ของที่คุณภาพดีกว่า ชอบลองของใหม่ และชอบเลือกซื้อสินค้าตามไลฟ์สไตล์มากกว่าตามการใช้งาน ชอบดูการไลฟ์สดและวิดีโอสั้น
ที่มาของข้อมูล: iResearch
แนวคิดการใช้ชีวิตและการเลี้ยงดูบุตรของคุณพ่อคุณแม่จีนยุคใหม่มีความแตกต่างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ (1) แม่ผู้มีอิสรภาพ ใช้ชีวิตตามความต้องการในช่วงตั้งครรภ์และสามารถทำหน้าที่แม่และกิจกรรมที่ตนชื่นชอบควบคู่กันไปได้อย่างลงตัว (2) ซามูไรพ่อลูกอ่อน มีสามีที่มีส่วนร่วมและมีความถนัดในการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น (3) เลี้ยงลูกให้ใกล้ชิดธรรมชาติ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม เช่น สวนสนุก และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ มีแนวโน้มที่คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกไปสัมผัสธรรมชาติมากขึ้น เช่น กิจกรรมตั้งแคมป์ในป่า ไปท่องเที่ยวตามทุ่งหญ้าหรือเดินป่า (4) เลี้ยงลูกอย่างปล่อยวาง ปล่อยให้ลูกได้สำรวจและค้นคว้าสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ปลูกฝังให้ลูกพึ่งพาตนเองได้ และ (5) เรียนรู้อย่างสนุกสนาน สนับสนุนให้ลูกเรียนรู้จากกิจกรรมที่สร้างสรรค์และของเล่นเพื่อพัฒนาการและการศึกษา
ช่องทางการจัดจำหน่าย
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2564 มีผู้บริโภคชาวจีนซื้อผลิตภัณฑ์แม่และเด็กผ่านช่องทางออนไลน์ถึง 250 ล้านคน และแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมก็ไม่พ้นแพลตฟอร์ม B2C ยักษ์ใหญ่ เช่น JD และ Tmall ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้จากร้านค้าทางการของแบรนด์ชั้นนำ ทั้งยังมีกิจกรรมส่วนลดต่าง ๆ และได้รับสินค้าอย่างรวดเร็วผ่านเครือข่าย การขนส่งที่มีประสิทธิภาพจากบริษัทขนส่งชั้นนำของจีน
ร้านขายสินค้าแม่และเด็กครบวงจรอยู่ในช่วงขาลง ก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วประเทศจีนมีร้านขายสินค้าแม่และเด็กเกือบ 250,000 แห่ง หลังจากการระบาด ร้านออฟไลน์แบบดั้งเดิมเหล่านี้ต่างทยอยปิดตัวกันอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 นี้มีร้านค้าปิดตัวลงไปแล้วอย่างน้อย 30,000 แห่ง เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีรีวิวจากผู้ที่เคยซื้อสินค้า ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทาง
คู่แข่งในตลาด
แม้ว่าขนาดตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กจีนจะมีขนาดใหญ่ แต่ความหอมหวานนี้ก็ดึงดูดนักธุรกิจชาวจีนและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกเช่นเดียวกัน ข้อมูล ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2564 จาก Qichacha บริษัทฐานข้อมูลธุรกิจ
ในจีนค้นพบว่า ในจีนมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กจำนวน 2,803 ล้านแห่ง โดยส่วนมากมีที่ตั้งอยู่ในมณฑลส่านซี มณฑลซานตง และมณฑลเจ้อเจียง ในปี 2563 มีบริษัทจดทะเบียนใหม่ 898,000 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับปี 2562 และในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 มีบริษัทจดทะเบียนใหม่ถึง 1,295,000 แห่ง ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2563 ถึงร้อยละ 61.9
โอกาสของผู้ประกอบการไทย
การเพิ่มขึ้นของคู่แข่งนั้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถสะท้อนได้ว่า ตลาดนี้มีศักยภาพควรค่าแก่การเข้ามาแย่งชิง ผลิตภัณฑ์แม่และเด็กไทยก็มิได้แพ้ชาติใดในโลก หากผู้ประกอบการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการ พร้อมโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลออนไลน์ที่เป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญในยุคปัจจุบัน โอกาสที่จะเข้ามาครองใจของคุณพ่อคุณแม่จีนยุคใหม่นั้น ก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแข่งขันที่ดุเดือดในจีนเป็นเรื่องที่มีความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติ
ต้องอาศัยการปรับตัวอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ และต้องแข่งขันในแวดล้อมที่อาจอยู่ในสถานะเสียเปรียบ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า จีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และรัฐบาลจีนรณรงค์แบรนด์และสินค้าที่ผลิตในจีนตามคำขวัญของวัยรุ่นจีนยุคใหม่ “จีนทำ จีนใช้ จีนโชว์” โดยจากผลสำรวจพบว่ามากกว่าร้อยละ 60 ของคุณแม่ยุคหลัง 90s พึงพอใจกับผลิตภัณฑ์แบรนด์จีน
อย่างไรก็ดี ในหลายสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านอาหาร โภชนาการ และการเติบโตของเด็ก คุณแม่ชาวจีนยังคงเลือกใช้แบรนด์ต่างชาติ เนื่องจากมั่นใจในคุณภาพและความน่าเชื่อถือของกระบวนการผลิต โดยเฉพาะสืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อปี 2551 ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านอาหารในจีน โดยมีการตรวจพบนมและนมผงดัดแปลงสำหรับทารก ตลอดจนวัตถุดิบประกอบอาหารและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เจือปนสารเมลามีนซึ่งอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งได้สร้างกระแสหวาดระแวงของผู้บริโภคชาวจีนต่อผลิตภัณฑ์นมและนมผงที่ผลิตในจีนเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ตลาดนมผงสำหรับทารกในจีนมากกว่าครึ่งหนึ่งจึงยังถูกครอบงำโดยแบรนด์ต่างประเทศ และในบางเมืองสัดส่วนทางตลาดสูงถึงร้อยละ 80
ไทยในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารระดับแนวหน้าของโลก มีภาพลักษณ์ในสายตาชาวจีนของการเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารที่อุดมสมบูรณ์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และเป็นศูนย์ให้บริการด้านสุขภาพและการแพทย์ครบวงจร จึงควรใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไทย โอกาสจาก “perception gap” ของผู้บริโภคชาวจีนต่อแบรนด์ต่างชาติเป็นทุนเดิม และช่องทางการตลาดออนไลน์ต่าง ๆ ในการพัฒนาสินค้าและบริการที่โดดเด่นและมีคุณภาพ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเด็ก บริการและผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และผลิตภัณฑ์บำรุงและอาหารเสริมสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร เพื่อให้ทุกย่างก้าว
น้อย ๆ (baby steps) ของการขยายตลาดในจีนเป็นไปได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว และตอบสนองต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ชาวจีนยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
* * * * * * * * * *
นางสาวกังสดาล เผ่าทวี
ผู้ช่วยศูนย์ BIC ณ กรุงปักกิ่ง