กว่างซี กับ Key Success การเป็น “ประตูสู่อาเซียน”
13 Jul 2017
โดย…ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน ณ นครหนานหนิง
|
เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงได้ยินคำว่า “ประตูสู่อาเซียน” (Gateway to ASEAN) ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว
อันที่จริงๆ แล้วคีย์เวิร์ดนี้เป็นนโยบายการต่างประเทศเชิงรุกของรัฐบาลจีนที่ต้องการผลักดันให้ “เขตฯ กว่างซีจ้วง” เป็นแม่ข่ายความเชื่อมโยงกับอาเซียน ซึ่งถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คล้ายกับนโยบายที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าผลักดันการเป็น “ศูนย์กลางอาเซียน” นั่นเอง
แล้วด้วยเหตุไฉน…ทำไมรัฐบาลจีนจึงมอบหมายภาระกิจ(หนักอึ้ง)ให้เขตฯ กว่างซีจ้วงรับหน้าที่เป็นผู้เล่นตัวหลักบนเกมส์ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซียน (แทนที่จะเป็นยูนนาน)???
ต้องขอบอกว่า..นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเป็นกระแสเศรษฐกิจในภูมิภาคเพียงเท่านั้น แต่นั่นเป็นเพราะความตั้งใจของรัฐบาลจีนที่ต้องการมุ่งสร้างความสัมพันธ์แบบรอบด้านกับอาเซียนด้วยปัจจัยเอื้อหลายอย่าง
“กว่างซี” หรือที่คนไทยมักเรียกติดปากว่า “กวางสี” นั้น จริงๆ แล้วเขามีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง” (Guangxi Zhuang Autonomous Region) จากความหลากหลายทางเชื้อชาติจึงได้รับการจัดตั้งเป็น 1 ใน 5 เขตปกครองตนเองของจีน (เทียบเท่ามณฑล) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ติดประเทศเวียดนาม และอ่าวเป่ยปู้ (หรือที่ในแบบเรียนไทยเรียกว่า “อ่าวตังเกี๋ย”)
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า…ความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ (Geographical Advantage) ของเขตฯ กว่างซีจ้วงที่มณฑลอื่นของจีนไม่มีหรือมีไม่เท่า (รวมถึงยูนนาน) เป็นจุดแข็งที่รัฐบาลกลางเล็งเห็นว่ามณฑลชายขอบแห่งนี้มีความเหมาะสมกับการเป็น “ประตูสู่อาเซียน” เฉือนชนะยูนนาน
นั่นก็คือ การมีช่องทางเชื่อมต่อกับอาเซียนทั้งทางถนน (ถนนอาร์ต่างๆ) ทางเรือ (ปากทางออกสู่ทะเลเพียง ‘หนึ่งเดียว‘ ในภูมิภาคตะวันตก) และทางอากาศ
|
ยิ่งเมื่อข้อตกลง “เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน” (CAFTA) ที่รอคอยมายาวนาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 กว่างซียิ่งทวีบทบาทความสำคัญที่โดดเด่น(เหนือยูนนาน)ยิ่งขึ้น อาเซียนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของกว่างซี ปีที่แล้ว (ปี 57) การค้ากับอาเซียนของกว่างซีมีมูลค่าทิ้งห่างคู่แข่งอย่างยูนนานกว่า 3.4 หมื่นล้านหยวน หรือราว 1.7 แสนล้านบาท
โจทย์ใหญ่ที่ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลมณฑลเร่งลงมือเพื่อสร้างแรงศรัทธาความเชื่อว่าตัวเองเป็น “ประตูสู่อาเซียน” ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ นานา ก็คือการทำให้คำว่า “อาเซียน” มองเห็นได้จากสิ่งรอบตัวและกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวชาวกว่างซี ธีมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นมักมีคำว่า “จีน-อาเซียน” พ่วงท้ายให้เห็นอยู่เสมอๆ
ประจักษ์พยานชิ้นสำคัญ “มหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน” หรือ China-ASEAN Expo (CAEXPO) งานบิ๊กบึ่มของชาวประชาจีนอาเซียนที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่นครหนานหนิง เมืองเอกของกว่างซี ทุกๆ ปีจะมีผู้นำระดับสูงจากประเทศภาคีสมาชิกเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง โดยเมื่อสองปีก่อน (ปี 58) ประเทศไทยเราได้เป็น “Country of Honor” และปีนี้ (ปี 60) กำลังจะจัดขึ้นปีที่ 14 ระหว่างวันที่ 12-15 กันยายนศกนี้
ด้วยปัจจัยเอื้อและการชี้นำเชิงนโยบายของรัฐบาลกลาง ทำให้วันนี้บทบาทของกว่างซีในระบบโครงสร้างการค้าการลงทุน(กับอาเซียน)ของจีนมีความสำคัญชัดเจนมากยิ่งขึ้น นโยบาย “เปิดสู่ภายนอก” เพื่อทำให้พ่อค้าแม่ขายของกว่างซีกับอาเซียนทำการค้าโดยตรงได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา มีการเปิดด่านชายแดนสากลและจุดผ่อนปรนการค้าชายแดน(เวียดนาม)หลายแห่ง มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือน้ำลึกและท่าเรือแม่น้ำ การขยายเส้นทางเดินเรือ การพัฒนาประสิทธิภาพการบริการของระบบงานศุลกากรและงานตรวจสอบกักกันโรค (CIQ) และการพัฒนางานขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดน (พิธีสารฯ กับเวียดนาม)
กลยุทธ์ “เงินหยวน” กับอาเซียนเป็นอีกฟังก์ชั่นที่ใช้เติมเต็มนโยบายการเป็น “ประตูสู่อาเซียน” ซึ่งกว่างซีได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลกลางในการปฏิรูปภาคการเงิน เพื่อส่งเสริมการใช้สกุลเงิน “หยวน” ในการค้าการลงทุนในภูมิภาคใกล้เคียง
พัฒนาการที่น่าสนใจเริ่มจากกว่างซี (และยูนนาน) ได้เป็น “จุดทดลองการชำระเงินด้วยสกุลเงินหยวนในการทำการค้าระหว่างจีนกับอาเซียน” และการเปิด “เขตนำร่องการปฏิรูปการเงินตามแนวชายแดนของกว่างซี” มีการเปิดเคาท์เตอร์แลกเปลี่ยนโดยตรงระหว่างหยวนกับสกุลเงินในอาเซียน และการอนุญาติให้ “ชำระบัญชีการค้าด้วยสกุลเงินหยวนสำหรับบัญชีส่วนบุคคล“ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ เช่น “กองทุนสกุลเงินหยวนเพื่อการลงทุนและสินเชื่อในต่างประเทศ” ที่มุ่งเป้าไปยังอาเซียนเป็นหลัก
ในบริบทของการ ‘อิ่มตัว‘ ทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกของจีนจากการที่ค่าแรงค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนอุตสาหกรรมสู่ภาคตะวันตก
หากพิจารณาจากทำเลที่ตั้งแล้ว กว่างซีเป็นจุดหมายการลงทุนแห่งใหม่ของพ่อค้านักลงทุนจากปัจจัยความพร้อมหลายประการ โดยเฉพาะทำเลที่ตั้งที่มีท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่เพียงแห่ง
เดียวในภูมิภาคตะวันตก และมีนิคมอุตสาหกรรมที่ใช้รองรับการลงทุนพร้อมแพคเกจการลงทุนที่น่าเร้าใจ
ผลงานชิ้นโบแดงของกว่างซีที่ต้องพูดถึงคงหนี้ไม่พ้น “นิคมคู่แฝดระดับชาติ” ที่รัฐบาลจีนกับมาเลเซียตกลงปรงใจและปักหมุดลงทุนในเมืองชินโจว (Qinzhou) ของกว่างซีและเมืองกวนตันของมาเลเซียพร้อมด้วยสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนมากมาย เช่น การลด/ยกเว้นภาษี การใช้ที่ดิน และการให้เงินชดเชยเงินอุดหนุนอีกหลายรายการ
แถมยังมี ‘ไซด์เอฟเฟกต์‘ แรงไปถึงเมืองอื่นในกว่างซีลุกขึ้นมาเขียนโปรเจกต์สร้างนิคมคู่แฝดกับประเทศไทยสองเจ้า คือ นิคมอุตสาหกรรมจีน(เมืองฉงจั่ว)-ไทย และนิคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและวัฒนธรรมจีน(เมืองยวี่หลิน)-ไทย ซึ่งการดำเนินการเขารุกเราน่าดูเลย แม้ว่าความคืบหน้าฝั่งไทยอาจจะยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่ก็ตาม
ยุคจีนภิวัฒน์ หากไม่พูดถึง “เส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21” (21st Century Maritime Silk Road) ก็ดูจะตกเทรนไปสักเล็กหน่อย
ยุทธศาสตร์ใหม่ของรัฐบาลกลางที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการสร้าง“ความเชื่อมโยง” (Connectivity) ทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน (ตีความเป็น ‘อาเซียน‘ ก็คงจะไม่ผิด) ซึ่งสอดรับกับฐานะที่กว่างซีได้รับการกำหนดบทบาทเป็น “ประตูสู่อาเซียน”
จึงกล่าวได้ว่า สองยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความเกี่ยวพัน(โดยสายเลือด)แบบตัดไม่ขาด
กว่างซีถือว่ามี ‘เอี่ยว‘ กับเงินมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ที่รัฐบาลจีนจัดสรรขึ้นเพื่อจัดตั้ง “กองทุนเส้นทางสายไหม” เพื่อใช้สนับสนุนการ “ก้าวออกไป” ขยายความร่วมมือในต่างประเทศ (รวมถึงไทย) โดยเฉพาะการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การพัฒนาแหล่งทรัพยากร และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม
และยังมีกองทุน(ให้เปล่า)หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ.อีกตัวที่มีชื่อว่า “กองทุนความร่วมมือด้านการลงทุนจีน-อาเซียน” ขอบอกว่ากองทุนนี้รัฐบาลจีนเขาจัดตั้งขึ้นเพื่อพวกเราชาวอาเซียนโดยเฉพาะ สำหรับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและอื่นๆ
นอกจากนี้ รัฐบาลกว่างซีได้จัดตั้ง “กองทุนเพื่อการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม” เพื่อส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนจากภายนอกในพื้นที่ขุมพลังทางเศรษฐกิจของกว่างซีอย่าง “เขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้” โดยเน้นที่นิคมอุตสาหกรรมระดับพรีเมี่ยมที่มีทำเลที่ตั้งชั้นยอดในนครหนานหนิง เมืองชินโจว เมืองเป๋ยไห่ และเมืองฝางเฉิงก่าง
แม้ว่า “เขตทดลองการค้าเสรีอ่าวเป่ยปู้” จะตกขบวนรถไฟ ไม่ติดโผบัญชีรายชื่อเขตทดลองการค้าเสรีในประเทศที่รัฐบาลกลางประกาศรายชื่อมาแล้ว 3 ชุด แต่ยังไม่หมดหวัง…กว่างซีตั้งหน้าตั้งตารอลุ้นบัญชีรายชื่อชุดต่อไป หวังอยู่ลึกๆ ว่ารัฐบาลกลางจะ ‘เซย์เยส‘ เมื่อวันนั้นมาถึง ‘อ่าวเป่ยปู้‘ จะเป็นพื้นที่ที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันตกและประเทศจีนสมดั่งที่รัฐบาลกลางคาดหวังเป็นแน่แท้
ผลจากนโยบายช่วยให้เศรษฐกิจกว่างซีเติบโตแบบก้าวกระโดดจากที่เป็นมณฑลด้อยพัฒนารั้งท้ายประเทศได้ ‘เชิดหน้าชูตา‘ มาอยู่ในระดับแนวหน้าของมณฑลภาคตะวันตกและระดับกลางของประเทศ
ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของกว่างซีรักษาระดับการเติบโตที่ร้อยละ 8.5 มีมูลค่าราว 2.55 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. (เกือบร้อยละ 70 ของ GDP ไทย) ในส่วนสถานการณ์การค้าต่างประเทศมีการเติบโตที่ร้อยละ 23.5 และการค้ามูลค่าต่ำตามแนวชายแดน (Petty trade in border area) มีการเติบโตสูงถึงร้อยละ 28 ซึ่งตัวเลขข้างต้นมีการขยายตัวสวนกระแสเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศทั้งสิ้น
|
ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ‘การขยายตัวของเมือง‘ หรือUrbanization ตึกรามบ้านช่อง อาคารสูงระฟ้า และสถาปัตยกรรมใหม่ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด โครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเห็นได้ทั่วเมือง
การขยับเข้าใกล้เป้าหมาย ‘สังคมเสี่ยวคัง‘ เริ่มเห็นได้ชัดเจน ประชากร ‘อยู่ดีกินดี มีรายได้เพิ่ม‘ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มชนชั้นกลางในสังคม กำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ช่องว่างรายได้ที่ขยับเข้าใกล้มณฑลทางภาคตะวันออกมากขึ้น สิ่งแวดล้อมทางการลงทุนดีขึ้น ทำให้กว่างซีเป็น ‘ตลาดใหม่‘ ขนาดใหญ่ที่เตะตานักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
แล้ว ประเทศไทย จะใช้ประโยชน์จากยุทธศาสตร์ “ประตูสู่อาเซียน” ของกว่างซีได้อย่างไร??? หากพูดในแง่ของ ‘สินค้าเกษตรไทย‘ ที่มีศักยภาพสูงมากในตลาดจีน เขตฯ กว่างซีจ้วงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมณฑลหนึ่งที่มีการนำเข้าผลไม้จากอาเซียนมากที่สุดของประเทศจีน ฉะนั้น รัฐบาลกลางจึงให้นโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุนมณฑลแห่งนี้มาโดยตลอด
อย่างในกรณี ผลไม้ไทย ที่ฮ็อตสุดๆ ในตลาดจีน ต้องบอกว่า “กว่างซี” เป็นช่องทางที่น่าสนใจ หลายปีมานี้ รัฐบาลกลางโปรยสิทธิการเป็นด่านนำเข้าผลไม้ให้กับด่าน 7 แห่งในกว่างซีชนิดที่ว่าครอบคลุมทุกมิติของการขนส่งทั้งทางบก(ผ่านถนนอาร์ 9 อาร์ 12) ทางทะเล(ท่าเรือชินโจวและท่าเรือฝางเฉิงก่าง) และทางอากาศ(สนามบินของเมืองกุ้ยหลิน) สะท้อนให้เห็นถึงการดูแลเอาใจใส่ที่รัฐบาลกลางมีให้กับกว่างซีมากเป็นพิเศษ
ตลอดจนการเปิด “ด่านนำเข้าข้าวและธัญพืช” ในเมืองท่าหลายแห่งของจีน ซึ่งกว่างซีได้ที่นั่ง 3 ที่ในบัญชีรายชื่อการอนุมัติของรัฐบาลกลาง ได้แก่ ท่าเรือเมืองชินโจว ท่าเรือเมืองฝางเฉิงก่าง และท่าเรือแม่น้ำเมืองอู๋โจว
และ ล่าสุด!! รัฐบาลกลางเพิ่งเปิด “ด่านนำเข้าสัตว์น้ำ(มีชีวิต)” ของด่านท่าอากาศยานนานาชาตอู๋ซวีนครหนานหนิง (Nanning Wuxu International Airport,南宁吴圩国际机场) เป็นที่แรกของมณฑล โดยมีกุ้งขาวแวนนาไม (Penaeus vannamei) ของไทยเป็นตัวชิมลางล็อตแรก
จุดแข็งด้านการเป็น “ประตูสู่อาเซียน” ได้พัฒนาโอกาสด้าน “ธุรกิจการศึกษา” ในกว่างซีและถือเป็นอีกหนึ่งภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกลางประกาศว่าจะส่งเสริมแผนการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างจีนกับอาเซียนฝ่ายละแสนคน
ปัจจุบัน นักศึกษาจากอาเซียนในกว่างซี คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของทั้งประเทศ กว่างซีมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาของชาติอาเซียนของประเทศจีน สถาบันการศึกษาในกว่างซีให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการศึกษาและงานวิจัยในหัวข้อเกี่ยวกับอาเซียน
กว่างซีมีสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนภาษาไทยมากที่สุดในประเทศจีน ตัวนักศึกษากว่างซี(จีน)ให้ความสนใจเรียน “ภาษาไทย” อย่างมาก แต่ละปีมีนักศึกษากว่างซีไปเรียนที่ไทยหลายพันราย และมีนักศึกษาไทยมาเรียนที่กว่างซีนับพันรายเช่นกัน
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการรังสรรค์ “ตลาดค้าส่งหรือศูนย์กระจายสินค้าจีน–อาเซียน“ต่างๆ ขึ้นทั่วทั้งกว่างซี เพื่อรองรับนโยบายประตูสู่อาเซียน
อย่างในนครหนานหนิงมีตลาดค้าส่งผักและผลไม้อาเซียนไฮกรีน หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ห่ายจี๋ซิง” (海吉星) ซึ่งเขาวางเป้าหมายสูงเทียบชั้นตลาดเจียงหนานของนครกว่างโจวเลยทีเดียว แล้วยังมีไชน่า-อาเซียนพลาซ่าที่ภาษาจีนเรียกว่า “หัวหนาน เฉิง” (华南城) เป็นศูนย์ค้าส่งสินค้าจีน–อาเซียนที่จีนพยายามปลุกปั้นให้เป็นเหมือนตลาดอี้อูในมณฑลเจ้อเจียง รวมถึงเขตธุรกิจจีน-อาเซียนที่จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) แห่งใหม่ของภูมิภาค
บทสรุป ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ของกว่างซีกับอาเซียนเป็นปัจจัยเอื้อของการเป็น “ประตูสู่อาเซียน” และเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจ เนื่องจากยังมีผู้ประกอบการไม่มาก ทำให้มีโอกาสแจ้งเกิดได้ง่ายกว่ามณฑลที่มีการแข่งขันสูง ความพร้อมทางกายภาพ (โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก) ตลอดจนนโยบายพิเศษดึงดูดการลงทุนสำหรับภาคตะวันตกของจีน หากมองในแง่ของ ‘โอกาส‘ กล่าวได้ว่า เขตฯ กว่างซีจ้วงเปรียบเสมือน “เพชรในตม(ของคนกล้าลงทุน)”
**************************