โมเดลรัฐร่วมเอกชน: กุ้ยโจวดึงจุดแข็งทรัพยากรท้องถิ่นดึงคนพ้นความยากจน (ตอนที่ 3)
10 Jan 2020รัฐบาลมณฑลกุ้ยโจวให้ความสำคัฐกับการแก้ไขปัญหาความยากจนในมณฑลอย่างจริงจัง โดยกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐทั้งหมดในทุกระดับให้ความสำคัญกับวาระระดับชาติดังกล่าวเป็นลำดับแรก สำหรับการขับเคลื่อนนโยบาย มณฑลได้จัดตั้งคณะทำงานลดความยากจนตั้งแต่ระดับมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน รวมทั้งกำหนดให้มีการจัดประชุมเฉพาะเรื่องลดความยากจนและประสานงานกันในทุกระดับ เป็นประจำ นอกจากนี้ กุ้ยโจวยังส่งเจ้าหน้าที่รัฐปีละ 50,000 คนลงไปประจำในพื้นที่ยากจนเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ทั้งนี้ หากพื้นที่ใดหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐยังคงต้องอยู่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวต่อไปอีก 3 ปีเพื่อสร้างความมั่นใจว่า ชาวบ้านจะไม่กลับไปยากจนอีก
นอกเหนือจากการจัดโครงสร้างการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพแล้ว รัฐบาลมณฑลกุ้ยโจวยังส่งเสริมการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อการพัฒนาและลดความยากจนในด้านต่าง ๆ ด้วย เช่น การพัฒนาการเกษตรให้เป็นอุตสาหกรรมอย่างกรณีผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ชื่อหลี การพัฒนา “หนึ่งอำเภอ หนึ่งอุตสาหกรรม” อย่างอุตสาหกรรมการผลิตกีตาร์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศของอำเภอเจิ้งอาน ตลอดจนการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อช่วยลดความยากจนในพื้นที่ เช่น โครงการของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์จีนในการสร้างหมู่บ้านว่านต๋าตานไจ้และเมืองโบราณเซอเซียงที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ว่านต๋ากรุ๊ป–เขตฯ เฉียนตงหนาน สร้างหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สัมผัสวิถีชีวิตชนพื้นเมือง
หมู่บ้านว่านต๋าตานไจ้ ตั้งอยู่ในอำเภอตานไจ้ เขตปกครองตนเองชนชาติต้งและแม้วเฉียนตงหนาน มีเนื้อที่ 400 หมู่ (166 ไร่) โอบล้อมไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งภูเขาและทะเลสาบตงหู (East Lake) หมู่บ้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแห่งนี้เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างเครือบริษัทว่านต๋า (Wanda Group) ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนกับรัฐบาลอำเภอตานไจ้ ซึ่งรัฐบาลตานไจ้ได้ชักชวนให้เครือว่านต๋าเข้ามาพัฒนาพื้นที่เพื่อลดความยากจนตั้งแต่ปี 2557
เครือว่านต๋าได้ลงทุนโครงการปรับปรุงและก่อสร้างในหมู่บ้านตานไจ้มูลค่ารวมกว่า 2,100 ล้านหยวน ประกอบด้วย การพัฒนาเมืองท่องเที่ยวมูลค่า 1,300 ล้านหยวน การจัดตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษามูลค่า 300 ล้านหยวน และการจัดตั้งกองทุนเพื่อบรรเทาปัญหาความยากจนมูลค่า 500 ล้านหยวน
สำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในหมู่บ้านตานไจ้ เครือว่านต๋าได้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่เน้นสถาปัตยกรรมพื้นเมืองของชนเผ่าแม้วและชนเผ่าต้ง จัดสรรเป็นพื้นที่ถนนคนเดินและร้านค้า พื้นที่ชมภูมิทัศน์ทะเลสาบตงหู และพื้นที่สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำแบบดั้งเดิม ภายในหมู่บ้านมีสิ่งปลูกสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น กังหันน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ได้รับการรับรองจากกินเนสส์บุ๊ค เส้นทางโบราณสำหรับวิ่งออกกำลังกาย ทุ่งดอกไม้ขนาด 200 หมู่ (83 ไร่) ลานกว้างสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง 4 แห่ง โรงแรมระดับสี่ดาว โฮมสเตย์ โรงภาพยนตร์ กิจกรรมสันทนาการสำหรับเด็ก และร้านค้ากว่า 300 ร้านที่จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น อาหารชนเผ่าต้งและแม้ว สมุนไพรชนเผ่าแม้ว และสินค้าเกษตรแปรรูป นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของชนเผ่าแม้ว เช่น การผลิตกระดาษโบราณหมู่บ้านสือเฉียว การย้อมผ้าบาติก ระบำไก่ทองคำและระบำบูชายัญแตรกระบอกไม้ไผ่ ทั้งนี้ แนวคิดสำคัญของการพัฒนาหมู่บ้านตานไจ้ ประกอบด้วย การรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นอย่างดี และการประสานยุทธศาสตร์การพัฒนา “ชนบท” กับ “การท่องเที่ยว” เข้าด้วยกัน
หมู่บ้านว่านต๋าตานไจ้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 หลังจากนั้นเพียงแค่ครึ่งปี หมู่บ้านฯ ก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวติด 3 อันดับแรกของมณฑลกุ้ยโจว และด้วยความสวยงามของธรรมชาติและอัตลักษณ์ของชนพื้นเมือง สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติจีน (China National Tourism Administration) จึงยกให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 4A ของจีน
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หมู่บ้านว่านต๋าตานไจ้รองรับนักท่องเที่ยวแล้วกว่า 14 ล้านคน ช่วยสร้างงานให้คนในท้องที่จนมีประชากรหลุดพ้นจากความยากจนถึง 56,500 คน และในปี 2562 อำเภอตานไจ้ได้รับการประกาศให้เป็นอำเภอที่หลุดพ้นจากความยากจนอย่างเป็นทางการ นับเป็นความสำเร็จที่เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 2 ปี โครงการดังกล่าวยังทำให้เครือว่านต๋าได้รับรางวัล “องค์กรสร้างสรรค์ในการต่อสู้กับความยากจนของจีนประจำปี 2562” อีกด้วย
เหิงต้ากรุ๊ป–เมืองปี้เจี๋ย กรณีศึกษายอดเยี่ยมที่ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลดความยากจนของจีน
เครือบริษัทเหิงต้า (Evergrande Group) กลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ได้เข้าไปช่วยเหลือการลดความยากจนในเมืองปี้เจี๋ยตั้งแต่ปลายปี 2558 จากการผลักดันของสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน โดย “การจับคู่เพื่อช่วยเหลือความยากจน” ในครั้งนี้ เครือเหิงต้าจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 11,000 ล้านหยวน ประกอบด้วย โครงการในอำเภอต้าฟาง 3,000 ล้านหยวน และโครงการในอีก 8 อำเภอที่เหลือของเมืองปี้เจี๋ยมูลค่า 8,000 ล้านหยวน ตลอดจนต้องส่งทีมงานจำนวน 2,108 คนลงไปในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือการพัฒนาทั้งในด้านการเกษตร การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การสร้างที่อยู่ใหม่ให้คนจน และการฝึกทักษะแรงงาน นับเป็นการให้ความช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างรอบด้าน โดยเป้าหมายของการดำเนินการในครั้งนี้ คือ การช่วยให้คนจนในเมืองปี้เจี๋ยกว่า 1 ล้านคน พ้นจากความยากจนภายในปี 2563
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เครือเหิงต้าใช้เงินลงทุนโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนในเมืองปี้เจี๋ยไปแล้ว 7,000 ล้านหยวน โดยในด้านการเกษตร ได้สร้างพื้นที่เพาะปลูกพืชผักและผลไม้ขนาดใหญ่ เช่น เห็ด มะเขือเทศ แคนตาลูป และเขตเลี้ยงโคเนื้อ ซึ่งสามารถช่วยเหลือคนยากจนให้มีงานทำกว่า 700,000 คน รวมถึงยังพยายามผลักดันให้เกิดการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อขยายเป็นอุตสาหกรรม
ในด้านการสร้างที่อยู่ใหม่ให้คนจน เครือเหิงต้าได้สร้างเขตที่อยู่ใหม่สำหรับคนจนย้ายถิ่น 17 แห่งในพื้นที่ทั้ง 9 อำเภอของเมืองปี้เจี๋ย ตลอดจนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ชนบท 50 แห่ง โดยจนถึงปัจจุบัน มีคนจนย้ายที่อยู่ใหม่แล้ว 181,800 คน และคาดว่า ภายในเดือนกรกฎาคม 2563 จะมีคนจนที่สามารถย้ายที่อยู่อีกเพิ่มอีกราว 40,000 คน รวมเป็น 221,800 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ในด้านการฝึกทักษะแรงงาน นับจนถึงสิ้นปี 2562 เครือเหิงต้าจัดฝึกอบรมทักษะอาชีพสำหรับคนยากจนไปแล้ว 113,217 คน ในจำนวนนี้มีผู้ได้รับการจ้างงานเกือบ 80,000 คน โดยแต่ละคนมีรายได้เฉลี่ยปีละ 42,000 หยวน ถือได้ว่า การสร้างงานให้คนหนึ่งคน สามารถช่วยให้ทั้งครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจนได้
สำหรับด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เครือเหิงต้าได้ก่อสร้างเมืองโบราณเซอเซียงที่อำเภอต้าฟาง และเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 โดยมีขนาดพื้นที่ 1,523 หมู่ (635 ไร่) ภายในจัดสรรเป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่อยู่อาศัยขนาด 420,000 ตารางเมตร โดยเปิดให้คนจนย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัย ซึ่งมีการย้ายเข้ามาแล้ว 3,000 ครอบครัวหรือกว่า 12,000 คน พื้นที่การค้าขนาด 60,000 ตารางเมตร รวมถึงลานกิจกรรมและหอศิลป์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมของชนเผ่าอี๋ พื้นที่สิ่งก่อสร้างเพื่อสาธารณะ ประกอบด้วย วิทยาลัยอาชีวศึกษา โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนมัธยม โรงเรียนมัธยมสำหรับชนพื้นเมือง และนาขั้นบันได ทั้งนี้ ในปลายปี 2561 เมืองโบราณเซอเซียงได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 4A ของจีน
เมื่อปลายปี 2561 สำนักงานคณะทำงานกลุ่มผู้นำเพื่อการบรรเทาความยากจนและการพัฒนาของคณะรัฐมนตรีจีน (State Council Leading Group Office of Poverty Alleviation and Development) เห็นว่า ความช่วยเหลือในการลดความยากจนของบริษัทเหิงต้าในเมืองปี้เจี๋ยนับเป็นคุณูปการของภาคเอกชน จึงพิจารณาให้โครงการนี้เป็น “กรณียอดเยี่ยมที่ภาคเอกชนช่วยลดความยากจน” และกลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญด้านการลดความยากจนของจีน
ในภาพรวม ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลมณฑลกุ้ยโจวกับภาคเอกชนเพื่อลดความยากจนหลายโครงการมีจุดเริ่มต้นจากนโยบาย “การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของจีนในการแก้ไขปัญหาความยากจน” ซึ่งสนับสนุนให้เมืองร่ำรวยทางฝั่งตะวันออกให้ความช่วยเหลือเมืองยากจนทางฝั่งตะวันตก เช่น การจับคู่ระหว่างนครกว่างโจวกับเมืองปี้เจี๋ยและเขตฯ เฉียนหนาน ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเมืองทางภาคตะวันออกของจีนให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความยากจนในมณฑลกุ้ยโจวรวม 8 เมือง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ต้าเหลียน ซูโจว หังโจว หนิงโป ชิงต่าว กว่างโจว และเซินเจิ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลท้องถิ่นในกุ้ยโจวต่างก็พร้อมวิ่งเข้าหาภาคเอกชนหรือนักลงทุนตามโมเดล “รัฐร่วมเอกชน” เพื่อให้สนับสนุนการดำเนินงานในด้านนี้ของภาครัฐ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่น เพื่อให้คนในท้องถิ่นเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน และหลุดพ้นจากความยากจนโดยไม่ต้องพึ่งทรัพยากรของรัฐมากเกินไป
ถอดสมการความสำเร็จการลดความยากจนของกุ้ยโจว “การจัดการทรัพยากร+โมเดลรัฐร่วมเอกชน”
หาก “ความยากจน” หมายถึง ภาวะความขาดแคลนสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมของบุคคลอย่างเหมาะสม ปัญหาสำคัญของภาวะเช่นนี้จึงย่อมเกี่ยวข้องกับความสามารถของประชาชนในการเข้าถึง ใช้ประโยชน์ และประยุกต์ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ต่อการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นพื้นฐานทางสังคม ทั้งนี้ แม้ในหลายประเทศ ปัญหาดังกล่าวจะเกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในภาพรวมที่มีข้อบกพร่องเรื่องการกระจายรายได้ แต่สำหรับมณฑลกุ้ยโจวนั้น ประชาชนที่อยู่ในภาวะยากจนส่วนใหญ่ กลับเป็นกลุ่มบุคคลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรขั้นพื้นฐานอย่างจำกัดมาก รวมทั้งเป็นกลุ่มบุคคลที่ยังขาดความสามารถในการประยุกต์ใช้ทรัพยากรที่จำกัดข้างต้นในการดำรงชีวิต ดังจะเห็นได้ว่า กลุ่มคนยากจนของกุ้ยโจวส่วนใหญ่ คือ กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงหรือพื้นดินกึ่งทะเลทรายกึ่งหินซึ่งไม่มีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
การแก้ไขปัญหาความยากจนของมณฑลกุ้ยโจวจึงเริ่มต้นด้วยการอพยพย้ายกลุ่มคนเหล่านั้นมายังพื้นที่จัดสรรใหม่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพียบพร้อม วิธีการเช่นนี้ แม้อาจวิพากษ์ได้ว่า เป็นการใช้ระบบรวมศูนย์อำนาจสั่งการและจัดการชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แต่จุดที่น่าสังเกตก็คือ ก่อนการดำเนินการอพยพประชาชนนี้ รัฐบาลมณฑลกุ้ยโจวได้เริ่มปฏิรูประบบบริหารจัดการภาครัฐด้วยการกำหนดให้ทุกองคาพยพของรัฐบาลทุกระดับบูรณาการข้อมูลและประสานงานกันอย่างรอบด้าน นำไปสู่การเกิดขึ้นของระบบ “บิ๊กดาต้า” (Big Data) ซึ่งเป็นหนึ่งในความโดดเด่นของมณฑล รวมทั้งเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ชี้เป้า” กลุ่มคนยากจนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่แปรผันตรงกับประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาความยากจนของกุ้ยโจว
แม้องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการและกลไกการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพของมณฑลกุ้ยโจวจะเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของการลดความยากจนในมณฑล แต่ขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไม่ให้ประชาชนที่พ้นจากความยากจนแล้วกลับไปอยู่ในภาวะเดิมอีกก็นับเป็นความท้าทายที่สำคัญ มณฑลจึงเร่งสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพในหลายภาคส่วน ทั้งบริษัทเอกชนชั้นนำระดับชาติที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่างกรณีความร่วมมือกับบริษัทหวังเหล่าจี๋เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลไม้ป่าชื่อหลี การดึงบุคลากรท้องถิ่นที่มีศักยภาพกลับมาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่อย่างกรณีนิคมอุตสาหกรรมการผลิตกีตาร์ที่อำเภอเจิ้งอาน ตลอดจนการดึงเครือบริษัทยักษ์ใหญ่มาลงทุนด้านการรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) อย่างกรณีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองโบราณของเครือว่านต๋าและเครือเหิงต้า เหล่านี้ ล้วนเป็นพลังขับเคลื่อนเสริมที่ทำให้มณฑลสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างรอบด้าน มีความยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น
ดังนี้แล้ว หากจะถอดสมการความสำเร็จการดำเนินการเพื่อลดความยากจนของมณฑลกุ้ยโจว จึงอาจสรุปได้ว่า ประกอบด้วย “การจัดการทรัพยากร” โดยใช้องค์ความรู้ด้านบริหารจัดการมาปรับปรุงและยกระดับกลไกการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่ช่วยให้การดำเนินการที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มี “โมเดลรัฐร่วมเอกชน” ที่ส่งเสริมการสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่าง ๆ มาช่วยพัฒนาและดึงจุดแข็งของทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้ผลลัพธ์ของการแก้ไขปัญหามีความยั่งยืนและสามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มได้ จากสมการความสำเร็จ “การจัดการทรัพยากร+โมเดลรัฐร่วมเอกชน” ข้างต้น จึงอาจเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญว่า การแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นกระบวนการที่สามารถริเริ่มได้ในระดับท้องถิ่นผ่านการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกภาคส่วน และผลลัพธ์ที่พึงปรารถนาของการดำเนินนโยบายเช่นนี้ก็คือความสามารถในการพึ่งพาตนเองของท้องถิ่นในระยะยาวต่อไป
********************
แหล่งข้อมูล
http://www.eguizhou.gov.cn/2019-12/26/content_37530415.htm
http://www.eguizhou.gov.cn/2019-12/10/content_37528484.htm
http://www.ddcpc.cn/detail/guizhou/11515115004872.html
https://baijiahao.baidu.com/s?id=1649242651456669807&wfr=spider&for=pc
https://baijiahao.baidu.com/s?id=1619091664823458553&wfr=spider&for=pc
http://www.dcgz.org/html/2019/quyujingji_1211/468799.html