เรียนรู้ เข้าใจ และปรับใช้ : ไวรัล ‘มณฑลคู่จิ้น’ ด้านการค้า การท่องเที่ยวบูมในจีน
23 Jan 2024
จัดทำโดย นางสาวฉิน อวี้อิ๋ง
เรียบเรียงโดย นายกฤษณะ สุกันตพงศ์
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC)
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง
เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงได้รับการขนานนามเป็น “สวนผลไม้หลังบ้าน” ของประเทศจีน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เขตฯ กว่างซีจ้วง ‘ยืนหนึ่ง’ มณฑลผู้ผลิตผลไม้ได้มากที่สุดในประเทศจีนติดต่อกัน 4 ปี โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลส้ม มีผลผลิตมากถึง 1/3 ของทั้งประเทศจีน ส้มต่างๆ ของกว่างซีจะเริ่มทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่กลางเดือนกันยายน – มีนาคมของปีถัดไป

สำหรับ “ส้ม” ที่รับบทพระเอกตัวท็อปออนแอร์ในช่วงเดือนธันวาคม – มกราคมในพื้นที่เขตฯ กว่างซีจ้วง คงหนีไม่พ้น ‘ส้มไซด์จิ๋ว’ ที่มีชื่อเรียกว่า “ส้มซาถาง” บางพื้นที่เรียก “ส้มสือเยว่ห์” (ชื่อทางวิทยาศาตร์ Citrus reticulata) ด้วยเอกลักษณ์ด้านรสชาติที่หวานฉ่ำเหมือนน้ำตาลทราย (คำว่า “ซาถาง” ในภาษาจีนหมายถึง น้ำตาลทราย) จึงเป็นที่มาของชื่อ “ส้มซาถาง” นั่นเอง
ข้อมูลของปี 2565 กว่างซีมีพื้นที่ปลูกส้มซาถาง 3.25 ล้านหมู่ (ราว 2,166.66 ตร.กม.) ครองสัดส่วนร้อยละ 34 ของเนื้อที่ปลูกส้มทั้งหมดของกว่างซี มีปริมาณผลผลิต 6.84 ล้านตัน ส่วนใหญ่ปลูกอยู่ในเมืองกุ้ยหลิน เมืองหลิ่วโจว เมืองอู๋โจว เมืองไป่เซ่อ เมืองหลายปิน และนครหนานหนิง
เมื่อพูดถึง “ส้มซาถาง” ของกว่างซีแล้ว บีไอซี มีเรื่องเล่าของ “ส้มซาถาง” ที่กำลังเป็นไวรัลกันแบบยาว ๆ ในประเทศจีน และเป็นต้นแบบการเรียนรู้สำหรับประเทศไทยในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในสินค้าและบริการของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวชาวจีนได้
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เมื่อคุณครู 3 คน พาเหล่าบรรดาเด็กน้อยอายุ 3 – 6 ขวบ จำนวน 11 คน จากนครหนานหนิง เมืองเอกของเขตฯ กว่างซีจ้วง ได้ออกเดินทางไปผจญภัยเรียนรู้สู่โลกกว้างในดินแดนน้ำแข็ง มณฑลเฮยหลงเจียง และมณฑลจี๋หลินของจีน เป็นเวลา 13 วัน
ใครจะไปคาดคิดว่า… การเดินทางไปทัศนศึกษาของกลุ่มเด็กอนุบาลที่สุดแสนจะธรรมดา จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของพื้นที่ภาคใต้กับภาคเหนือของจีนให้ ‘ก้าวหน้า’ และ ‘ใกล้ชิดกัน’ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากที่คลิปการออกเดินทางไปทัศนศึกษาของเด็กวัยอนุบาลถูกโพสต์ลงแอปพลิเคชัน Douyin (Tik Tok เวอร์ชั่นจีน) และถูกแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว ชุดกันหนาวที่เด็กน้อยใส่เป็นสีส้มสะดุดตา ชาวเน็ตเลยตั้งชื่อให้ว่า “เสี่ยวซาถางจวี๋”(小砂糖橘) หรือ “เจ้าส้มซาถางจิ๋ว” พร้อมติดแฮชแท็ก (Hashtag) จนติดเทรนด์ค้นหา และกลายเป็นเรียลลิตี้โชว์ที่ชาวเน็ตทั่วจีนต้องติดตามกันทุกวัน (การทำ content marketing ให้น่าดึงดูด #ติดแฮชแท็ก เพื่อทำการตลาดให้ปัง)
บรรดาชาวเน็ตได้แอดไซน์ @ ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในมณฑลเฮยหลงเจียง (นครฮาร์บิน เมืองมั่วเหอ) ฝากช่วยดูแล “แก๊งส์ส้มซาถางจิ๋ว” ด้วย โดยหน่วยงานต่าง ๆ และชาวฮาร์บินช่วยกันรับ-ส่ง ’ไม้ต่อ’ ในการดูแลอำนวยความสะดวกให้ชาวแก๊งส์ชนิดทันควัน ก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับมณฑลจี๋หลิน (เมืองจี๋หลิน แคว้นปกครองตนเองชนชาติเกาหลีเหยียนเปียน) ก่อนจะเดินทางกลับนครหนานหนิง (การร่วมแรงร่วมใจของรัฐ-ประชาชนในพื้นที่)
เพื่อตอบแทนน้ำใจที่ชาวฮาร์บินช่วยดูแล “แก๊งส์ส้มซาถางจิ๋ว” นครหนานหนิงได้ส่งส้มท้องถิ่นกว่างซี 11 คันรถ รวมน้ำหนักกว่า 189 ตัน ไปให้พี่น้องชาวฮาร์บิน ก่อนที่เวลาต่อมา มณฑลเฮยหลงเจียงได้แลกใจด้วยการส่งแครนเบอร์รี่สด 1 แสนกล่องให้ชาวหนานหนิง และมีการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรระหว่างกันอีกหลายชนิดในเวลาต่อมา อาทิ ข้าวสารอู่ฉาง (五常大米) ของดีนครฮาร์บิน(เฮยหลงเจียง) และส้มโอซาเถียนโย่วของดีเมืองยวี่หลิน(กว่างซี)
จากนั้นหน่วยงานการท่องเที่ยวในเมืองต่างๆ กว่างซี ‘คว้าโอกาส’ จากกระแสไวรัล “เจ้าส้มซาถางจิ๋ว” จัดแคมเปญ ‘ฟรี บัตรผ่านประตูสถานที่ท่องเที่ยว’ และกิจกรรมลดแลกแจกแถมอีกเพียบให้กับพี่น้องจีนอีสาน 4 มณฑล ทั้งมณฑลเฮยหลงเจียง มณฑลจี๋หลิน มณฑลเหลียวหนิง รวมถึงพื้นที่ภาคตะวันออกของเขตปกครองมองโกเลียใน (เข้าใจกระแสไวรัล และเข้าให้ถูกจังหวะ)
วิวัฒนาการในขั้นนี้ ได้สร้างโอกาสให้กับสองมณฑลในการประชาสัมพันธ์และสร้างความเป็นที่รู้จักของ ‘ผลไม้พื้นถิ่น’ ผ่านสื่อโซเชียลให้รู้จักในวงกว้างได้ภายในเวลาสั้น ๆ และช่วยกระตุ้น ‘ต่อมอยาก’ ในหมู่ชาวเน็ตจีนได้ไม่น้อย
ข้อมูลสถิติของ Meituan (美团) แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่ของจีน พบว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 เป็นต้นมา ยอดค้นหา “ส้มซาถางกว่างซี” พุ่งขึ้นกว่าร้อยละ 200 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเฉพาะในเมืองเซินเจิ้น กรุงปักกิ่ง นครเฉิงตู นครกว่างโจว และเมืองซ่าวซิง

ขณะที่แพลตฟอร์ม Taobao และ Tmall เปิดเผยว่า ยอดค้นหาแครนเบอร์รี่ในวันที่ 10 มกราคม 2567 พุ่งสูงถึงร้อยละ 958 (YoY) ด้านเจ้าของร้านขายผลไม้บนแพลตฟอร์ม Taobao ให้ข้อมูลว่า คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามณฑลเฮยหลงเจียงเป็นแหล่งผลิตแครนเบอร์รี แต่หลังจากที่รู้แล้ว ยอดสั่งซื้อพุ่งขึ้นเป็นร้อยเท่า
บนความเหมือนที่แตกต่างของหนึ่งมณฑลชายแดนตอนใต้ที่มีชื่อว่า “กว่างซี” กับหนึ่งมณฑลชายแดนตอนเหนือที่มีชื่อว่า “เฮยหลงเจียง” กับระยะทางกว่า 3,500 กิโลเมตร ต้องบอกว่า… ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค สองมณฑลได้สานต่อการดำเนินการที่เรียกว่า ‘สุขใจผู้ให้ อิ่มใจผู้รับ’ จนชาวเน็ตมณฑลอื่นยกให้เป็น ‘มณฑลคู่จิ้น’ ที่หลาย ๆ มณฑลต่างเอ่ยปากว่า “อิจฉาความหวาน” กันเลยทีเดียว แน่นอนว่า…‘มณฑลคู่จิ้น’ ได้กลายเป็นไวรัลอีกระลอก (การสร้างสมการความสัมพันธ์ที่ได้ผลลัพธ์ 1+1 > 2)
ในระหว่างการเดินทางผจญภัยของเหล่า ‘ยุวทูตน้อยกว่างซี’ ที่ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับมณฑลในจีนอีสาน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็เกิดเรื่องราวซึ้งกินใจที่ช่วยเพิ่มยอดผู้เข้าชม (Traffic) และการมีส่วนร่วม (Engagement) จนเป็นไวรัลระลอกสอง สาม สี่…. อย่างคลิปการบอกลา #หนูน้อยหลั่งน้ำตาเพราะอยากพาตำรวจรถไฟกลับหนานหนิง กับ #คุณอาตำรวจก็ปาดน้ำตาและสัญญาว่าจะไปหาหนูน้อยที่หนานหนิง โดยเนื้อหาดังกล่าวของเว็บบล็อกเกอร์แค่รายหนึ่งบน Weibo มีผู้เข้าถึงทะลุ 200 ล้านคนครั้ง

การ ‘ใช้ใจซื้อใจ’ ของกว่างซีกับเฮยหลงเจียง ไม่เพียงทำให้คนในสองมณฑลได้รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่ ‘กำแพงความคิด’ หรืออคติที่มีต่อพื้นที่ (Regional Discrimination) ที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนภาคใต้กับคนภาคเหนือได้ถูกทลายลง พี่น้องชาวจีนได้ปรับมุมมอง รู้จัก และเข้าใจกว่างซีกับเฮยหลงเจียงมากขึ้นด้วย
และคลิปสุดแสนอิ่มใจที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนถึงกับมีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อสภาพฝนฟ้าไม่เป็นใจ อากาศหนาวเย็นแถมมีฝนตก แต่ชาวหนานหนิงยังคงเข้าคิวยาวนับกิโลเมตร เพื่อแครนเบอร์รี่รสเปรี้ยวเข็ดฟันกล่องเล็ก ๆ ที่ส่งมาจากใจชาวฮาร์บิน และคำให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่ดีอกดีใจของอาอี๋ที่พูดว่า “แครนเบอร์รี่ถึงจะเปรี้ยวที่ปาก แต่หวานฉ่ำที่ใจ” (การใช้โซเชียลมีเดียให้กระแทกใจผู้ชม)
สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนทางการค้า และการท่องเที่ยวไปมาหาสู่ภาคประชาชน และนำไปสู่วิวัฒนาการขั้นต่อไป ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น (Value added) ก่อให้เกิดพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมากมายมหาศาล โดยเฉพาะกระแส “การท่องเที่ยว”
คนทางใต้ต่างกรูขึ้นเหนือไปสัมผัสหิมะ ขณะที่คนทางเหนือก็แห่ลงใต้ไปท่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่กว่างซีเพิ่มขึ้น บรรดาอินฟูลเอนเซอร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ต่างกรูกันมาท่องเที่ยว ทำคลิป และไลฟ์สดในกว่างซี ช่วยโปรโมทและสร้างแรงจูงใจให้กับผู้คนจากต่างมณฑลให้เดินทางมาท่องเที่ยวที่กว่างซีได้ในวงกว้าง โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้สร้างรายได้ทางตรงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและรายได้ทางอ้อมให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ถึงขนาดที่คนทางเหนือวางแผนซื้อบ้านพักตากอากาศในกว่างซีเพื่อหนีหนาว ทำเอามณฑลอื่น ‘นั่งไม่ติด’ ต้องเกาะกระแส “เสี่ยวซาถางจวี๋” ของกว่างซีด้วย

ข้อมูลของ China Internet Network Information Center หรือ CNNIC ณ มิถุนายน 2566 จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในจีน (Netizen) พุ่งแตะ 1,079 ล้านคน อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต (Internet penetration) ร้อยละ 76.4 มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ 1,076 ล้านคน (หรือกว่า 15 เท่าของประชากรไทยทั้งประเทศ) และมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ (รวมถึงวิดีโอสั้น) 1,044 ล้านคน
บีไอซี เห็นว่า ในโอกาสที่กระแสมาตรการ ‘วีซ่าฟรี’ แก่นักท่องเที่ยวไทย-จีนยัง ‘ติดลมบน’ อยู่ ประเทศไทยสามารถนำประสบการณ์จาก ไวรัล ‘มณฑลคู่จิ้น’ กว่างซี-เฮยหลงเจียง เพื่อไปใช้เป็นกรณีศึกษา เพื่อเรียนรู้และปรับใช้สำหรับการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของไทย โดยอาจพิจารณาเริ่มต้นจาก “เมืองพี่เมืองน้อง” ระหว่างจังหวัดของไทยกับเมืองของจีนได้ โดยอาศัยความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ในการเปิดตลาดสินค้าเกษตรอย่างผลไม้บางชนิดที่อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน สินค้าที่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และสินค้า OTOP ที่มีศักยภาพและคุณภาพมาตรฐานตอบโจทย์
********************