รู้จักกับ Cross-Border E-Commerce ของแดนมังกร
14 Sep 2018
รู้จักกับ Cross-Border E-Commerce ของแดนมังกร
โดย ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง
ณ เวลานี้ หากพูดถึงตลาด e-Commerce ที่น่าสนใจที่สุด คงหนีไม่พ้นตลาด e-Commerce แดนมังกร มูลค่าการค้าระบบออนไลน์กว่า 29.16 ล้านล้านหยวนในปี 2560 เป็นตัวการันตีเก้าอี้ผู้นำตลาด e-Commerce ขนาดใหญ่ที่สุดของโลกได้อย่างไร้ข้อกังขา
นอกจาก “เทคโนโลยีและนวัตกรรม” ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม e-Commerce และระบบการจ่ายเงินออนไลน์ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “การสนับสนุนเชิงนโยบาย” ของรัฐบาลกลางเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน e-Commerce ของโลก
บทความฉบับนี้ BIC ขอนำท่านผู้อ่านไปพบกับวิวัฒนาการของ e-Commerce กับพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนรุ่นใหม่ที่รักความอินเตอร์ และพลิกคอนเซปต์ e-Commerce จากการขายสินค้าจากทั่วโลกเป็นการซื้อสินค้าจากทั่วโลก จึงเป็นที่มาของ “Cross Border E-Commerce” (CBEC) หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน นั่นเอง
อันที่จริง CBEC ในจีนเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2558 เมื่อรัฐบาลกลางผุดไอเดียอนุมัติให้ “นครหังโจว” มณฑลเจ้อเจียง เป็น “พื้นที่ทดลอง CBEC แบบครบวงจร” แห่งแรกในจีน หลังจากได้ผลลัพธ์เป็นน่าพอใจอย่างมาก รัฐบาลจีนจึงจัดตั้งพื้นที่ทดลองเพิ่มอีก ปัจจุบัน มีพื้นที่ทดลอง CBEC 35 เมือง กระจายอยู่ทั่วประเทศ (มีพื้นที่ครอบคุลมกว้างกว่า Free Trade Zone ในจีน)
ปัจจุบัน ชาวจีนนิยมซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม CBEC รายใหญ่ อาทิ Tmall Global ของ Alibaba Group / JD Worldwide ของ JD.com และ Kaola.com ของ NetEase ที่แทบจะผูกขาดตลาด e-Commerce ก็ว่าได้ โดยการซื้อขายจะอยู่ในรูปแบบธุรกิจสู่ผู้บริโภค (B2C) และจากธุรกิจสู่ธุรกิจ (B2B) ซึ่งมีขั้นตอนที่สะดวกรวดเร็วและการตรวจสอบไม่เข้มข้นเท่ากับการซื้อขาย e-Commerce แบบปกติ
ที่สำคัญ การเรียกเก็บภาษีทั้งหลายแหล่ (ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเพื่อการบริโภค) นั้นถูกกว่าการสั่งซื้อทางออนไลน์แบบปกติ โดยรัฐบาลจีนได้กำหนดวงเงินการซื้อสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีที่ไม่เกิน 20,000 หยวนต่อปี หากเกิน 20,000 หยวน ก็จะเก็บในอัตราปกติ
การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม CBEC โดยทั่วไปจะสต็อกสินค้าไว้ที่คลังสินค้าในจีน (Bonded Warehouse) เมื่อผู้บริโภคชาวจีนส่งคำสั่งซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์ม CBEC แล้ว สินค้าจะผ่านกระบวนการพิธีการศุลกากรและโลจิสติกส์อย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าภายใน 4-7 วัน ขณะที่การสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์แบบปกติจะใช้เวลามากกว่า 15 วัน
ความท้าทายของผู้ประกอบการไทยในสมรภูมิการค้า CBEC ในจีนเป็นเรื่องของการสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย (รวมถึงเรื่องลิขสิทธิ์แบรนด์) การสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์สินค้าเหนือคู่แข่ง (เน้นคุณภาพ) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อผลลัพธ์ทางการตลาด รวมทั้งการพัฒนาระบบบริหารจัดการและแผนการตลาดเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี การเปิดตลาด CBEC ของจีนเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่จะก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมสร้างการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศผ่านช่องทาง e-Commerce ในตลาดที่มีศักยภาพบนแผ่นดินมังกร
**************************