มะกอกกานซู แปรรูปเพิ่มมูลค่าสู่ส่งออกทั่วโลก
11 Jan 2022เชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงรู้จักมะกอกกันเป็นอย่างดีไม่มากก็น้อย และคงเคยบริโภคมะกอกกันมาบ้างทั้งในรูปแบบของผลมะกอกสด มะกอกดอง มะกอกแปรรูป ไปจนน้ำมันมะกอกซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าเป็นน้ำมันที่เหมาะกับการบริโภค เนื่องจากมีกรดไขมันหลายชนิดที่สามารถช่วยลดระดับไขมันเลวในร่างกายลง จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกิดจากไขมันในเลือดสูง อาทิ โรคหัวใจ
มะกอก เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์เดียวกันกับมะม่วง เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบที่มีสรรพคุณทางยาเกือบทุกส่วนตั้งแต่ใบ เปลือก ราก ผล ไปจนถึงเมล็ด โดยทั่วไปมะกอกมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด ได้แก่ (1) มะกอกป่าหรือมะกอกไทย นิยมนำมาใส่ในอาหาร (2) มะกอกฝรั่งหรือมะกอกหวาน นิยมนำมารับประทานสดเป็นผลไม้หรือนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ (3) มะกอกน้ำ นิยมใช้ในการดองและแช่อิ่ม และ (4) มะกอกโอลีฟหรือมะกอกน้ำมัน นิยมนำมาแปรรูป ทำเป็นน้ำมันมะกอก สบู่ พลาสเตอร์ น้ำมันนวด วัสดุอุดฟัน แต่ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ คือ น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอก (Olive Oil) เป็นน้ำมันที่ได้จากผลมะกอก นิยมนำไปใช้ในการปรุงอาหาร เพราะเชื่อว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอล และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง อุดมไปด้วยวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันโรคผิวหนัง ลดรอยเหี่ยวย่นได้ ทั้งยังมีสรรพคุณด้านความงาม และสุขภาพอีกมากมายด้วย
จากสรรพคุณของน้ำมันมะกอกข้างต้น ทำให้มีปริมาณการบริโภคน้ำมันมะกอกเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะในปี 2563 การบริโภคน้ำมันมะกอกของทั้งโลก ทำสถิติสูงสุดมากถึง 3,000 ล้านกิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวภายในระยะเวลา 30 ปี และจากข้อมูลจาก greekfoodnews.com ระบุว่า นอกจากกระแสการรักสุขภาพจะเป็นที่นิยมไปทั่วโลกแล้ว ความนิยมในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ที่ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Cultural Heritage of Humanity) จาก UNESCOก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้มีการบริโภคน้ำมันมะกอกเพิ่มมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2026 ตลาดผู้บริโภคน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์มาก (Extra Virgin Olive Oil) จะมีมูลค่าสูงถึง 1,465.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากมูลค่า 1,410.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563) จากข้อมูลข้างต้น ท่านผู้อ่านคงพอจะเห็นถึงโอกาสและแนวโน้มความต้องการในการบริโภคน้ำมันมะกอกที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก
ปัจจุบัน ประเทศที่มีการผลิตน้ำมันมะกอกมากที่สุดในโลกตั้งอยู่บนคาบสมุทรเมดิเตอเรเนียน ได้แก่ สเปน (ราวร้อยละ 45 ของผลผลิตทั้งหมด) อิตาลี (ร้อยละ 25 ของผลผลิตทั้งหมด) และกรีซ (ร้อยละ 20 ของผลผลิตทั้งหมด) แม้แหล่งผลิตน้ำมันมะกอกที่มีชื่อเสียงจะยังคงกระจุกตัวอยู่ทางทวีปยุโรป แต่ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า มณฑลกานซูของจีน นอกจากจะเป็นแหล่งปลูกสมุนไพรที่สำคัญแห่งหนึ่งของจีนแล้ว ยังเป็นพื้นที่ปลูกมะกอกที่ใหญ่ที่สุดในจีนอีกด้วย ด้วยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่บริเวณละติจูดเดียวกันกับประเทศสเปน กรีซ และอิตาลี ซึ่งเป็นแหล่งปลูกและผลิตน้ำมันมะกอกที่มีชื่อเสียงของโลก (32 °58–33 °36)
มะกอกน้ำมันถูกนำเข้ามาในจีนครั้งแรกเมื่อปี 2507 โดยนายกรัฐมนตรีจีนนายโจว เอินไหล ได้นำสายพันธุ์มาจากประเทศแอลแบเนียมาปลูกเป็นครั้งแรกที่มณฑลยูนนาน แต่ผลผลิตไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ในปี 2518 จึงได้กระจายพื้นที่ทดลองปลูกไปสู่มณฑลเสฉวนและมณฑลกานซู
มณฑลกานซูมีข้อได้เปรียบจากการมีสภาพแสงอาทิตย์ ปริมาณน้ำฝน ดินและอากาศ ที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของมะกอก ตามข้อมูลในปี 2563 ระบุว่า มณฑลกานซูมีพื้นที่ปลูกมะกอกมากถึง 630,000 หมู่ (ราว 258, 196 ไร่) หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของพื้นที่เพาะปลูกมะกอกในจีน มีปริมาณผลสด 38,000 ตัน/ปี ซึ่งสามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันแบบสกัดครั้งแรก (First pressed oil) ได้ 5,700 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85.4 ของปริมาณที่ผลิตได้ทั้งประเทศ สร้างรายได้มากถึง 1,820 ล้านหยวน
สอดคล้องกับข้อมูลจาก Bloomberg ที่ระบุว่า ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคน้ำมันมะกอกในจีนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 25-35 ปี ที่เคยไปท่องเที่ยวต่างประเทศ และสนใจวิถีการปรุงอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนี่ยน ทั้งนี้ ตลาดผู้บริโภคน้ำมันมะกอกในจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 6,000 ตัน/ปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยราวร้อยละ 18/ปี
พามารู้จัก เขตอู่ตู เมืองหล่งหนาน แหล่งปลูกมะกอกชั้นดีของกานซู
ปัจจุบัน แหล่งปลูกมะกอกน้ำมัน (油橄榄) สำคัญของจีน อยู่ใน 2 พื้นที่ ได้แก่ เขตอู่ตู เมืองหล่งหนาน มณฑลกานซู และรอบแม่น้ำเจียหลิง (ส่วนหนึ่งของแม่น้ำฉางเจียง) ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างมณฑลเสฉวนกับนครฉงชิ่ง ทั้นี้ ในเขตอู่ตู่ เมืองหล่งหนาน มณฑลกานซู มีเกษตรกรท้องถิ่นที่ประกอบอาชีพปลูกมะกอกน้ำมันมากถึง 45,000 ครัว (ราว 210,000 คน) ครอบคลุมพื้นที่การผลิตและแปรรูปมากถึง 516,000 หมู่ (ราว 211,475 ไร่) เกษตรกรมีรายได้ประชากรเฉลี่ยต่อหัวจากการปลูกมะกอกน้ำมันเพียงอย่างเดียวเฉลี่ย 2,200 หยวน
พื้นที่ปลูกมะกอกน้ำมันที่สำคัญของจีน
รัฐบาลมณฑลกานซูกับการผลักดันอุตสาหกรรมน้ำมันมะกอก
ช่วงระหว่างปี 2555-2557 รัฐบาลกลางจีนและรัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลกานซูได้เร่งผลักดันให้อุตสาหกรรมการน้ำมันมะกอกของตนเองให้ทัดเทียมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันมะกอกรายใหญ่ ผ่านการประกาศ แผนพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมมะกอกหล่งหนาน (甘肃陇南油橄榄产业发展规划) พร้อมประกาศให้เขตพื้นที่การปลูกมะกอกในเขตหล่งหนานเป็นพื้นที่อนุรักษ์มะกอกของประเทศ (中国油橄榄之乡) ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกมะกอกหล่งหนาน บริเวณแม่น้ำไป่หลงและไป๋สุ่ยได้รับการบรรจุเข้าใน World Olive map ให้เป็นพื้นที่ปลูกมะกอกที่ดีที่สุดของจีน
การประกาศใช้แผนแม่บทอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันมะกอกหล่งหนาน (陇南市油橄榄产业总体规划) ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายการขยายฐานการปลูกมะกอกในเมืองหล่งหนานไม่ต่ำกว่า 500,000 หมู่ (208,333 ไร่) ได้ภายในปี 2563 นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนทางวิชาการและประสบการณ์กับประเทศผู้ผลิตน้ำมันมะกอกอื่น ๆ อาทิ การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการ Gansu Olive Industry Development Forum (甘肃油橄榄产业发展论坛) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2555 เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันมะกอกด้วยระบบสกัดเย็น การบูรณาการพื้นที่รอยต่อมณฑลส่านซี มณฑลกานซู และมณฑลเสฉวน ที่สามารถใช้ประโยชน์จากแม่น้ำฉางเจียงในการเพาะปลูกมะกอก เป็นต้น
ต่อมาในช่วงปี 2558-2559 อุตสาหกรรมมะกอกของมณฑลกานซู เริ่มดำเนินนโยบายสร้างการรับรู้ในระดับนานาชาติ โดยได้ผลักดันให้จีนเข้าเป็นรัฐสมาชิกของคณะกรรมการน้ำมันมะกอกนานาชาติ (Member states of the International Olive Oil Council) และเป็นหนึ่งในเป้าหมายการยกระดับความเป็นอยู่ของประชากรในพื้นที่ตามนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบทของจีนครั้งที่ 3 (ช่วงปี 2001-2010)
ที่จีนเพิ่มจำนวนอำเภอและพื้นที่ยากจนในพื้นที่จีนตอนกลางและตะวันตก ให้เป็นพื้นที่หลักในการแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการสร้างสังคมมั่งคั่งอย่างรอบด้าน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 กรมป่าไม้และทุ่งหญ้าแห่งชาติได้ประกาศ “ข้อเสนอแนะในการกำหนดนโยบายสิทธิพิเศษเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมมะกอก” (关于制定优惠政策大力扶持油橄榄产业发展的建议: Suggestions on formulating preferential policies to vigorously support the development of olive industry) โดยเน้น (1) ใช้ประโยชน์จากการควบคุมและแปรสภาพพื้นที่แห้งแล้ง พื้นที่ทะเลทรายอย่างเต็มที่ (2) ให้การสนับสนุนมาตรการทางการเงิน การธนาคาร อัตราดอกเบี้ยต่ำ ในกลุ่มกิจการปลูกพืชที่ให้น้ำมัน ซึ่งรวมถึงมะกอก (3) ให้การช่วยเหลือในการผ่อนชำระหนี้กู้ยืมตลอดจนสินเชื่อแก่วิสาหกิจที่ประกอบธุรกิจผลิตน้ำมันจากพืช
นอกจากนี้ ในแผนพัฒนาป่าเศรษฐกิจแห่งชาติ (พ.ศ. 2564-2573) ยังมีการประกาศยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้านความมั่นคงทางนิเวศวิทยา ความมั่นคงของเมล็ดพืชและน้ำมัน การฟื้นฟูชนบท และการประสานงานระดับภูมิภาคอีกด้วย โดยได้ระบุถึงความสำคัญของการเพิ่มบทบาทและความเข้มข้นของอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันมะกอกให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพสูง รวมถึงเร่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันมะกอก ยกระดับอุตสาหกรรมน้ำมันมะกอกจีนสู่สากล
เรียนรู้ ปรับใช้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
อุตสาหกรรมมะกอก ไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้แก่เมืองหล่งหนาน แต่ยังช่วยยกระดับชีวิตของประชากรของเมืองหล่งหนานให้หลุดพ้นจากความยากจน โดยในปี 2554รัฐบาลท้องถิ่นได้เริ่มกำหนดให้พื้นที่เขาฉินปาของเมืองหล่งหนานให้อยู่ในกลุ่มยากจนเป็นพิเศษ (特殊困难地区) อัตราความยากจนสูงถึงร้อยละ 53 เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรที่มีเพียง 1.3 ล้านคน ถือเป็นพื้นที่ยากจนอันดับที่ 1 ของมณฑลกานซู อย่างไรก็ดี ภายหลังการนำนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมมะกอกเข้าสู่เมืองหล่งหนาน รัฐบาลกานซูได้ให้การสนับสนุนระบบสาธารณูปโภค การเข้าถึงระบบคมนาคมขนส่งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2560 พื้นที่ข้างต้น ได้รับการฟื้นฟูและสามารถปลูกมะกอกน้ำมันเป็นอาชีพเพิ่มจากการปลูกสมุนไพรเพียงอย่างเดียว และทำให้เมืองหล่งหนานสามารถประกาศหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2563
BIC มองเห็นว่าความสำเร็จของการพัฒนาอุตสาหกรรมมะกอกของมณฑลกานซู สามารถเป็นตัวอย่างของแนวปฏิบัติที่ดียิ่ง ที่ประเทศไทยสามารถนำมาใช้เป็นโมเดลการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรในประเทศ เพื่อเพิ่มผลผลิตและยกระดับชีวิตของเกษตรกรได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความคล้ายคลึง เช่น อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปน้ำมันปาล์ม ซึ่งถือหนึ่งในห้าเป็นอุตสาหกรรมหลักของภาคใต้
BIC จึงได้สรุปความสำเร็จทางนโยบายที่สำคัญของมณฑลกานซูในการพัฒนาอุตสาหกรรมมะกอกให้ท่านผู้อ่านทราบ ดังนี้
- กำหนดราคารับซื้อผลผลิตมะกอกหน้าสวน ผ่านรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปน้ำมันเพื่อการบริโภค
ข้อมูลจากสวนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน้ำมันมะกอกเสียงหวี่ (Xiangyu Olive Ecological Industrial Park : 祥宇油橄榄生态产业园) ระบุว่า ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลมะกอก จะมีการทำสัญญาซื้อขายกับเกษตรกร โดยกำหนดราคาเฉลี่ย 8 หยวน/กิโลกรรม ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถเพิ่มรายได้ทางตรงให้แก่เกษตรกรเร็วที่สุด โดยผลผลิตต่อ 1 หมู่ (ราว 2.44 ไร่) สามารถสร้างรายได้แก่เกษตรกรได้ราว 10,000 หยวน แต่ด้วยข้อจำกัดของการแปรรูปน้ำมันมะกอกสกัดบริสุทธิ์ที่ต้องนำไปแปรรูปภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้เป็นข้อดีของการลงทุนก่อตั้งฐานการผลิตและแปรรูปน้ำมันมะกอกในพื้นที่ ซึ่งสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ ประชาชนในพื้นที่ได้ด้วยอีกทางหนึ่ง
- ก่อตั้งสหกรณ์เกษตร เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาต้นกล้ามะกอก
ข้อมูลจากสหกรณ์วิชาชีพเกษตรกรเพาะกล้าไม้จ้าวหลินเหลียง (召林良种苗木种植农民专业合作社) ระบุว่า ที่ผ่านมา สหกรณ์ฯ ได้ให้การสนับสนุนการเพาะพันธุ์ต้นกล้าต้นมะกอก โดยใช้พื้นที่ครอบคลุมกว่า 200 หมู่ (ราว 488 ไร่) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถปลูกและดูแลต้นมะกอกได้อย่างมีคุณภาพ ต่อมาเขตอู่ตู่ ได้นำโมเดลนี้มาใช้ผ่านแนวคิด “สมาคม+สหกรณ์+ครอบครัวยากจน(协会+合作社+贫困户: (Association + Cooperative + Poor households)” ส่งเสริมการรวมตัวกันในนามสหกรณ์การเกษตรเพื่อเพิ่มบทบาทและความแข็งแกร่งแก่เกษตรกร
- จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมมะกอกกานซูอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังดำเนินการยกระดับอุตสาหกรรมมะกอกมาได้ 2 ปี ในปี 2562 รัฐบาลกานซูได้เริ่มสนับสนุนแนวคิดในการนำน้ำมันมะกอกกานซูก้าวออกไปยังเมืองใหญ่ของจีน โดยเริ่มจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมมะกอกครั้งแรกที่กรุงปักกิ่ง ภายใต้ชื่อ “งานประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมมะกอกหล่งหนาน·กานซูแก้ปัญหาความยากจน (北京2018甘肃·陇南油橄榄产业脱贫推介)” เพื่อส่งเสริมการรับรู้ในผลิตภัณฑ์มะกอกในกลุ่มเมืองที่มีกำลังซื้อสูง และในปีต่อ ๆ มา ยังได้จัดงานในลักษณะดังกล่าวที่นครกว่างโจว นครเซี่ยงไฮ้ และเมืองเซินเจิ้นอีกด้วย
- เป็น “เมืองพี่เลี้ยง” แก่เมืองที่มีเป้าหมายการปลูกมะกอกเพื่ออุตสาหกรรม
แม้มณฑลกานซูจะตั้งเป้าเป็นมณฑลผู้นำแห่งอุตสาหกรรมน้ำมันมะกอกจีน แต่ด้วยกำลังการผลิตที่ยังไม่เพียงพอ ตลอดจนศักยภาพด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่ยังด้อยกว่าเมืองใหญ่อื่น ๆ เป้าหมายเติบโตไปด้วยกันจึงเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลกานซูนำมาใช้ ด้วยการสนับสนุนให้เมืองหล่งหนาน เป็นเมืองพี่เลี้ยงด้านการเพาะพันธุ์กล้ามะกอกให้กับพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปลูกมะกอกน้ำมัน โดยได้กระจายต้นกล้ามะกอกน้ำมันพันธุ์ Arbosana (阿尔波萨纳) ให้กับพื้นที่ยากจนของมณฑลส่านซี มณฑลยูนนาน มณฑลกุ้ยโจว มณฑลเสฉวน และเขตปกครองตนเองกว่างสีจ้วง ได้ทดลองปลูก
- สร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านการต่อยอดเป็นสินค้าหลากหลายรูปแบบ
นอกจากการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการเพาะปลูกแล้ว การแปรรูปมะกอกเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรที่เป็นรูปธรรม เพราะในอดีตผลมะกอกสดที่ปลูกในมณฑลกานซู มีราคาจำหน่ายราว 5 หยวน/กิโลกรัม เท่านั้น ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์มะกอกกานซูไม่ได้มีเพียงเฉพาะน้ำมันมะกอก แต่ยังได้ต่อยอดเป็นชาจากใบมะกอก ซอส/เครื่องปรุงจากผลมะกอกอีกด้วย
ขอบคุณภาพจาก 中广网
ผลผลิตจากมะกอกที่ได้รับการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
น้ำมันมะกอกจีน หนึ่งในทางเลือกสินค้านำเข้าราคาย่อมเยาของไทย
ข้อมูลจากเว็บไซด์ www.internationaloliveoil.org ระบุว่า จีนถือเป็นหนึ่งประเทศที่มีการบริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลของการหันมาบริโภคน้ำมันมะกอกเพิ่มขึ้นในจีน ไม่เพียงแต่เฉพาะกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น หรือเป็นเพราะความรักในสุขภาพเท่านั้น แต่เป็นเพราะผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกที่ผลิตได้ในประเทศเริ่มมีชื่อเสียงและได้รับความไว้วางใจในมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ออร์แกนิกส์จากวิสาหกิจท้องถิ่นในเขตอู่ตู เมืองหล่งหนาน มณฑลกานซู ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล่านี้ยังถือเป็นสินค้าต้นแบบที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านคุณภาพและชื่อเสียง ที่ได้รับเหรียญทอง ด้านคุณภาพจากคณะกรรมการน้ำมันมะกอกนานาชาติ (International Olive Oil Council) เมื่อปี 2018 รวมถึงรางวัลรางวัลเหรียญทองคู่ จากงานประกวดน้ำมันมะกอกนานาชาติอาเธน่า (The Athena International Olive Oil Competition ปี 2020)
ปัจจุบัน วิสาหกิจเหล่านี้ทำการตลาดผ่านการจัดตั้งหน้าร้าน วางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ T-Mall Alibaba JD และได้เริ่มส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 โดยส่งออกน้ำมันมะกอกไปยังเกาหลีใต้ จำนวน 1.2 ตัน ถือเป็นการเปิดทางให้ “น้ำมันมะกอกจีน” ได้รับการยอมรับในตลาดผู้บริโภคต่างชาติอีกด้วย
ไม่เพียงเฉพาะในจีนที่มีแนวโน้มการบริโภคน้ำมันมะกอกเพื่อสุขภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไทยก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีแนวโน้มการบริโภคน้ำมันมะกอกสูงขึ้นเช่นกัน ข้อมูลจาก Bertolli ประเทศไทย ระบุว่าแม้น้ำมันมะกอกในไทยจะยังไม่เป็นที่นิยมมาก แต่ปริมาณการบริโภคน้ำมันมะกอกในประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นทุกปี เห็นได้จากปริมาณการบริโภคในปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 0.4 ล้านลิตร ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.6 ล้านลิตรในปี 2560 สอดคล้องกับข้อมูลจาก The Observatory of Economic Complexity (OEC) ที่ระบุว่า ในปี 2562
ไทยนำเข้าน้ำมันมะกอกเป็นอันดับที่ 38 ของโลก มูลค่า 15.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนำเข้าจากสเปน (8.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อิตาลี (4.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) กรีซ (683,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ตูนิเซีย (671,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และตุรกี (371,000 ดอลลาร์สหรัฐ)1 ตลาดการนำน้ำมันมะกอกจึงถือว่ายังมีโอกาสการขยายตัวอีกมาก
บทสรุป
อุตสาหกรรมมะกอกไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมมูลค่าสินค้าเกษตรให้กับประเทศจีน แต่ยังเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่รัฐบาลมณฑลกานซูนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับความยากจนของประชากรท้องถิ่นจนประสบผลสำเร็จ สามารถสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับเกษตรกรและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในพื้นที่ที่ห่างไกลชุมชนเมือง ทั้งยังพยายามเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมมะกอกให้ทัดเทียมกับประเทศแถบเมดิเตอเรนียนอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรของมณฑลกานซูไม่เพียงเน้นทางด้านปริมาณ แต่ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่าและยกระดับสินค้าให้เป็นสินค้าระดับบน (Luxury brands) สำหรับตลาดในประเทศจีนที่มีกำลังซื้อสูงและตลาดในต่างประเทศ แม้ปัจจุบันปริมาณการผลิตน้ำมันมะกอกของมณฑลกานซูหรือแม้กระทั่งของจีนเองจะยังไม่ทัดเทียมเท่ากับประเทศผู้ผลิตแนวหน้าของโลก แต่แนวทางดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการผลิตสินค้าทดแทนสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อลดการพึ่งพา ทั้งยังถือเป็นการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างมั่นคงอีกด้วย
ข้อมูลอ้างอิง
- http://www.xinhuanet.com/english/2020-07/11/c_139203912.htm
- https://www.scmp.com/lifestyle/food-drink/article/3134905/chinese-and-japanese-extra-virgin-olive-oil-producers-beating
- https://baijiahao.baidu.com/s?id=1674329178195937495&wfr=spider&for=pc
- https://baijiahao.baidu.com/s?id=1674556127164246109&wfr=spider&for=pc
- https://baijiahao.baidu.com/s?id=1655220633122070342&wfr=spider&for=pc
- https://news.sina.com.cn/o/2012-07-09/201624741709.shtml
- http://cn.chinadaily.com.cn/2018-08/16/content_36775522.html