ตามดูพัฒนาการ Smart City นครหยินชวน เมืองอัจฉริยะนำร่อง เชื่อมสังคมขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านเทคโนโลยี
22 Aug 2019หากเอ่ยถึงเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย ท่านผู้อ่านอาจไม่คุ้นชื่อ บางท่านอาจนึกภาพสินค้า หรือแหล่งท่องเที่ยวของเขตฯ นี้ไม่ออก เขตฯ หนิงเซี่ยหุยได้ชื่อว่าเป็นมณฑลที่ห่างไกลความเจริญและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจไม่สูงนัก โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ซึ่งตั้งเป้าให้มีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของเขตฯ หนิงเซี่ยหุยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12 ภายในปี 2563
แม้รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยจะพยายามส่งเสริมและลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการผลิตสินค้าที่มีคุณค่าและมูลค่าสูงแล้วก็ตาม แต่ยังขาดแคลนการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคที่จะส่งเสริมให้ก้าวไปสู่มณฑลหลักในด้านอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เพราะเขตฯ หนิงเซี่ยหุยยังไม่สามารถอาศัยการผลิตเชิงนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นของตนเองได้มากเท่าที่ควร ส่งผลให้การปรับโครงสร้างการผลิตเป็นไปอย่างล่าช้า กระทบกับรายได้ประชากร และการไหลออกของแรงงาน เขตฯ หนิงเซี่ยหุยจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยี อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ผ่านการยกระดับนครหยินชวน เมืองเอกของเขตฯ หนิงเซี่ยหุยให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะนำร่อง เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีจากวิสาหกิจที่มีชื่อเสียงสู่พื้นที่มากขึ้น
ที่มาของเมืองอัจฉริยะของจีน
เมื่อปี 2555 จีนได้ประกาศเริ่มเมืองอัจฉริยะนำร่องแห่งชาติ[1] ใน 9 เมืองใหญ่ ได้แก่ (1) นครไท่หยวน มณฑลซานซี (2) นครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง (3) เมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซี (4) เมืองสวีโจว มณฑลเจียงซี (5) เมืองหลินอี๋ มณฑลซานตง (6) เมืองจื่อโป มณฑลซานตง (7) นครเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน (8) นครฉงชิ่ง และ (9) เมืองหูหาน มณฑลหูเป่ย ด้วยงบประมาณสนับสนุน 36 ล้านหยวน/ปี/เมือง[2] โดยเน้นการวางรากฐานเครือข่ายและเชื่อมโยงเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน ต่อมาได้ผลักดันให้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IOTs) เพื่อมา “แก้ไขปัญหา” อาทิ ปัญหาการจราจร การบังคับใช้กฎหมาย และการปรับปรุงให้อาคารสาธารณะมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น แน่นอนว่าการพัฒนาเมืองธรรมดาให้กลายเป็น Smart City นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยเงินทุนและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการแก้ไขปัญหา ตลอดจนการร่วมสร้าง Business Model กับภาคเอกชน เพื่อประโยชน์ของเมืองในอนาคต
ท่ามกลางกระแส Smart City หรือเมืองอัจฉริยะที่กำลังมีการพัฒนากันทั่วโลก ในช่วงปลายปี 2555 เขตฯ หนิงเซี่ยหุยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นเมืองอัจฉริยะนำร่องในกลุ่มที่ 2 โดยเป็นแห่งแรกๆ ของจีนตะวันตก ซึ่งได้รับการอนุมัติในช่วงต้นปี 2556 ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับเมืองเพื่อให้มีความน่าอยู่มากขึ้น รวมถึงตั้งเป้าพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะของเมือง การเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้อย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง ซึ่งการพัฒนาเมืองให้มีความอัจฉริยะนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐบาล ธุรกิจ รวมถึงประชาชน ซึ่งในหลายประเทศได้มีการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจ ในส่วนของเขตฯ หนิงเซี่ยหุย ZTE ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอุปกรณ์และระบบสื่อสารของจีนได้ร่วมลงทุนในการวางเครือข่ายและพัฒนาระบบ ICT ผ่าน Smart Yinchuan Innovation Center ที่ร่วมพัฒนากับ TM Forum และ Fiware’s เนื่องจากเขตฯ หนิงเซี่ยหุยจำเป็นต้องอาศัยภาคเอกชนที่มีความพร้อมในการนำ ICT เข้ามาบริหารจัดการเมืองและชุมชนให้มีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น
นอกจากนี้ เขตฯ หนิงเซี่ยหุยยังมุ่งพัฒนานครหยินชวนให้เป็น “พิมพ์เขียว” เมืองอัจฉริยะของจีน ผ่านการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเชื่อมต่อเข้ากับระบบ ICT การบูรณาการข้อมูลออนไลน์มาใช้กับการให้บริการสาธารณะ อาทิ ระบบขนส่ง ระบบฝากส่งพัสดุไปรษณีย์ ศูนย์สั่งการอุบัติภัยฉุกเฉิน ระบบหุ่นยนต์กู้ภัย และเครื่องสังเกตการณ์แบบไร้คนขับ ซึ่งการบริการนี้เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ปี 2556
ภายหลังจากเขตฯ หนิงเซี่ยหุยได้รับการอนุมัติให้เป็นเมืองอัจฉริยะนำร่องแล้ว คณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) และ China Development Bank (CDB) ได้สนับสนุนงบประมาณแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่ของประเทศ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนวิสาหกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทค ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมการผลิตยา และ (2) อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุ รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยได้ส่งเสริมการลงทุนในเขต Ningxia Economic and Technological Development Zone มุ่งพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะผ่าน 5 เทรนด์เทคโนโลยี ได้แก่ (1) VR (Virtual Reality) (2) Open Source (3) Big Data (4) Cloud และ (5) The connection of Everything (V.O.I.C.E)
รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยยังเร่งพัฒนาระบบการจัดการเมืองอัจฉริยะโดยนำ Big Data มาผสานกับเทคโนโลยีและการวางผังเมือง เพื่อพัฒนาระบบที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วยประสิทธิภาพการบริการที่สูงสุด โดยได้นำร่องยกระดับใน 3 ด้าน ได้แก่ (1) การยกระดับการให้บริการของหน่วยงานท้องถิ่น โดยการเชื่อมต่อข้อมูลและใช้ประโยชน์จากระบบที่บูรณาการเข้าด้วยกัน (2) การศึกษา และ (3) การแพทย์และสาธารณสุข
ปี 2559 – 2560 เร่งพัฒนาระบบและวางรากฐานชุมชนอัจฉริยะ
ปี 2559 รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยได้สานต่อแนวคิดเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง โดยได้อนุมัติแผนพัฒนานครหยินชวนเป็นเมืองอัฉริยะ (Accelerating Yinchuan Smart City Development Regulation) โดยเจาะลึกใน 5 ด้านได้แก่
(1) การยื่นเอกสารราชการ ผ่านระบบออนไลน์ที่สามารถร่นระยะเวลาจากเดิมได้มากกว่าร้อยละ 80
(2) การจราจรอัจฉริยะ ระบบตรวจสอบเส้นทางและจัดเก็บข้อมูลจราจร
(3) ชุมชนอัจฉริยะ ได้แก่ การติดตั้งระบบจดจำใบหน้า ถังขยะที่จดจำประเภทขยะ และระบบน้ำดื่มมาตรฐาน รวมไปถึงห้องจัดเก็บความเย็นพิเศษ (Special Cold Storage Room) สำหรับประชาชนที่สั่งซื้อสินค้าสดผักและผลไม้ โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกให้ไปส่งได้ตามจุดต่างๆ ทั่วนครหยินชวน
(4) การรักษาความปลอดภัยและการชำระเงินผ่านระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) โดยมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด 2,700 จุดทั่วนครหยินชวน และพัฒนาระบบการชำระเงินด้วยใบหน้าสำหรับบริการขนส่งสาธาณะ
(5) ระบบ Cloud Computing จัดตั้งฐานการให้บริการข้อมูล 60 จุด ซึ่งสามารถรองรับการลงทุนจากวิสาหกิจได้ 860 แห่ง โดยนายหวัง ชวน อธิบดี สนง. การจัดการข้อมูล Big Data นครหยินชวนกล่าวว่า “ต้องการให้ประชาชน “เข้าถึงข้อมูลอย่างอิสระ” (Barrier free access to information)”
ในปี 2560 รัฐบาลนครหยินชวน จัดตั้งศูนย์ควบคุมเมืองอัจฉริยะนครหยินชวน (Yinchuan Smart City Management Command Center) อย่างเป็นทางการ หรือที่ประชาชนนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “ศูนย์ 12345” โดยเป็นศูนย์การจัดการและให้บริการประชาชนเป็นหลัก สถิติจนถึงเดือน มี.ค. 2562 ศูนย์ฯ รับคำร้องจากประชาชนไปแล้วกว่า 1 ล้านเรื่อง แก้ไขปัญหาได้ร้อยละ 98.51 ผลสำรวจความพึงพอใจจากประชาชนสูงถึงร้อยละ 71.69 ปัจจุบัน ศูนย์ฯ ให้บริการบน Wechat Mini Program และแอปพลิเคชั่น
บนมือถือ
นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน เขตฯ หนิงเซี่ยหุยผุดโครงการ “Smart Community Project” อาศัยระบบอินเทอร์เน็ตและ ICT เก็บข้อมูลและพฤติกรรมของประชาชน และนำมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบสนองกับชีวิตประจำวันของประชาชนส่วนใหญ่ เสมือนเป็นห้องทดลองที่มีชีวิตที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้
รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุย ยังได้นำโครงการ “Future City” เมืองแห่งอนาคตมาขับเคลื่อนหน่วยงานท้องถิ่นขนาดเล็ก โดยส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีหุ่นโฮโลแกรม 3 มิติมาใช้ในการบอกข้อมูลผ่านการสั่งงานด้วยเสียง สอดคล้องกับข้อมูลจาก Juniper Research ที่ระบุว่า การใช้หุ่นโฮโลแกรม สามารถลดเวลาการต่อคิว การสอบถามบริการ และอื่นๆ ในโรงพยาบาลได้มากถึง 125 ชั่วโมง/คน/ปี เลยทีเดียว และรัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยยังได้พัฒนาโครงการ “Smart Health” มุ่งเชื่อมโยงข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุขเข้าด้วยกัน
ปี 2561 ยกระดับต่อยอดการสาธารณสุขท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2561 รัฐบาลนครหยินชวนร่วมกับ China Electronics Corporation (CEC) ได้จัดการประชุม Global Smart City Summit ประจำปี 2561 เพื่อการเป็นเมืองอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพของจีน ยกระดับเมืองยากจนและล้าหลังสู่เมืองทันสมัยระดับชาติ หัวข้อหลัก (theme) ของการประชุมฯ คือ “Green, High-end, Harmonious and Livable” แบ่งเป็น
(1) การแสดงปาฐกถาจากผู้บริหารเมืองอัจฉริยะตัวอย่างจากประเทศแคนาดา อังกฤษ เยอรมนี และรัสเซีย
(2) การเสวนาเรื่องความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต โดยเชิญวิสาหกิจขนาดใหญ่ อาทิ Alibaba JD.com Amazon Inspur และวิสาหกิจด้านความปลอดภัยของข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์
(3) การประชุมเพื่อเตรียมพร้อมเป็น “เขตสาธิตการดูแลสุขภาพ” (Medical Health Demonstration Zone) โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ทางการแพทย์ อาทิ การนำหุ่นยนต์มาให้บริการทางการแพทย์ เช่น การตรวจหายีนพันธุกรรม (Gene Detection) และการให้คำปรึกษาและแนะแนวการรักษาทางไกล
(4) การประชุมด้านการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ (Intelligent Public Safety) เน้นการเพิ่มขีดความสามารถของICT รวมไปถึงการนำ Cloud Computing และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในบริการสาธารณะให้มากขึ้น
(5) การร่วมมือกับวิสาหกิจต่างชาติ ได้แก่ Moprim บริษัทผู้ผลิตและให้บริการซอฟต์แวร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion sensing) และ Transport Mode Detection ในระบบขนส่งมวลชน
รวมไปถึงการมุ่งสร้างระบบการแพทย์อัจฉริยะผ่าน “เขตสาธิตการดูแลสุขภาพอัจฉริยะ” (Medical Health Demonstration Zone) ตลอดปี 2561 รัฐบาลนครหยินชวนได้ก่อตั้ง
(1) ศูนย์ช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉินนครหยินชวน (Yinchuan Research Emergency Center)
(2) ศูนย์อำนวยการเมืองอัจฉริยะ www.yc12345.gov.cn (Admission Center of the Smart City)
รวมไปถึงการร่วมกับคณาจารย์ทางการแพทย์ภายใต้แนวคิด “Internet + Medical Health” บนแพลตฟอร์มนัดหมายแพทย์และให้คำปรึกษา วินิจฉัยอาการเบื้องต้นผ่านเว็บบอร์ด www.haodf.com ซึ่งรวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดของจีน มีแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจากนครหยินชวนให้บริการในแพลตฟอร์มดังกล่าวมากถึง 20,583 คน จาก 29 สถานพยาบาลท้องถิ่น ให้บริการผู้ป่วยแล้วกว่า 7 ล้านคน
นอกจากนี้ จีนยังมีแพลตฟอร์มให้บริการด้านการแพทย์อีกจำนวนมาก อาทิ We Doctor (微医) ที่ให้บริการผ่าน Wechat Mini Program โดยมีค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษาราว 60-120 หยวน/ครั้ง Good Doctor (好大夫) ปรึกษาแพทย์ ฟรี 3 ครั้ง หลังจากนั้นมีค่าบริการ หรือ 91160.com (健康 160) ที่ผู้ป่วยหรือญาติสามารถเลือกขอคำปรึกษาหรือรับใบสั่งยาจากแพทย์ที่ตนเองพึงพอใจ ข้อมูลจาก www.iyiou.com ระบุว่า ภายในปี 2565 การลงทุนด้าน ICT ในโรงพยาบาลของจีนจะมีมูลค่าถึง 65,700 ล้านหยวน
แม้เขตฯ หนิงเซี่ยหุยจะเป็นพื้นที่แห่งแรกๆ ของจีนตะวันตกที่นำระบบ ICT มาใช้ในทางการแพทย์ แต่ยังคงต้องเร่งพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลการรักษา รวมไปถึงการยกระดับมาตรฐานการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ที่ทัดเทียมกับพื้นที่อื่นๆ การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยออนไลน์ รวมไปถึงบริการด้านต่างๆ เช่น การลงทะเบียน การแจ้งเตือน การติดตามสถานะ หรือการจัดลำดับความสำคัญในแต่ละกรณี ปัจจุบัน โรงพยาบาลที่ให้คำปรึกษาและวินิจฉัยอาการเบื้องต้นออนไลน์ของเขตฯ หนิงเซี่ยหุยมีทั้งสิ้น 17 แห่ง และมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
เป้าหมายปี 2563
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2559 รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยได้ประกาศแผนการก่อสร้างเมืองอัจฉริยะรูปแบบใหม่ (关于加快新型智慧城市建设的实施意见Implementation Opinions on Accelerating the Construction of New Smart Cities) โดยในปี 2563 รัฐบาลฯ หนิงเซี่ยหุยตั้งเป้าหมายการพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะไว้ ดังนี้
(1) พัฒนาและประกาศใช้ระบบเอกสารราชการให้เป็นระบบออนไลน์ E-Governance ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
(2) ติดตั้งระบบกำจัดขยะ (ถังขยะอัจฉริยะที่สามารถแจ้งเตือนไปยัง สนง. เทศบาลเมื่อเต็ม) และระบบควบคุมกล้องวงจรปิดทั่วทั้งเขตฯ หนิงเซี่ยหุย
(3) จำนวน Server ที่ให้บริการ Big Data ไม่น้อยกว่า 800,000 เครื่องทั่วทั้งเขตฯ หนิงเซี่ยหุย
(4) จำนวนวิสาหกิจ Hi-tech เข้าลงทุนในเขตฯ หนิงเซี่ยหุยไม่ต่ำกว่า 100 ราย
(5) ผลประกอบการของวิสาหกิจ ICT ไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านหยวน
(6) ยกระดับมาตรฐานระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วทั้งเขตฯ หนิงเซี่ยหุย
เร่งพัฒนาระบบให้บริการประชาชนในพื้นที่ผ่าน I Love City APP (我爱城市网)
ปัจจุบัน จีนได้พัฒนาแพลตฟอร์มชื่อ I Love City (爱城市网) เชื่อมต่อหน่วยงานผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภคท้องถิ่นกว่า 300 เมืองทั่วประเทศโดยประชาชนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สำนักงานหรือศูนย์ให้บริการอีกต่อไป ในส่วนของนครหยินชวนกำลังพยายามพัฒนาระบบข้อมูลพื้นฐาน เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ข้อมูลและให้บริการประชาชนในทุกด้าน อาทิ การชำระค่าสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การตรวจสอบสิทธิ์ประกันสังคม การตรวจสอบสถานะพัสดุ การนัดหมายตรวจสอบสภาพรถยนต์มือสอง การนัดหมายตรวจสุขภาพ หรือการตรวจสอบคะแนนการขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล ขณะนี้นครหยินชวนอยู่ระหว่างการพัฒนาข้อมูลการตรวจสอบสถานะสินเชื่อที่พักอาศัย
รัฐบาลเขตฯ หนิงเซี่ยหุยยังคงเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่และยกระดับความเจริญทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงพยายามทำให้เขตฯ หนิงเซี่ยหุยเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านแนวคิดการส่งเสริมอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ การต่อยอดธุรกิจภาคบริการ ในการเพิ่มช่องทางการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมและการสร้างสังคมนวัตกรรม แม้ต้องใช้เวลา แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเพื่อให้เขตฯ หนิงเซี่ยหุยสามารถพึ่งตนเองและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมสำหรับการปรับใช้ในประเทศไทย
– ถึงแม้ Smart City จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ แต่บางโครงการของเขตฯ หนิงเซี่ยหุย เช่น Smart Community Project ที่ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตและ ICT เก็บข้อมูลและพฤติกรรมของประชาชน ในอีกด้านหนึ่งอาจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ และเปิดโอกาสให้รัฐบาล “monitor” และควบคุมชีวิตของประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยใช้คำว่า “อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน” เป็นข้ออ้าง
– โครงการ Internet+Medical Health ที่เป็น platform นัดแพทย์และให้คำปรึกษาด้านอาการเจ็บป่วย อาจเป็นการเสริมสร้างนิสัยการ “เอะอะหาหมอ” ของประชาชน มากกว่าจะเสริมสร้างความรู้ด้านการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ซึ่งการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการแพทย์นั้น เป็นเรื่องที่ดี แต่อาจต้องจัดสมดุลอย่างเหมาะสม มิเช่นนั้น ประเทศจีนอาจะเกิดปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วย เหมือนที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
ข้อมูลอ้างอิง
[1] “China outnumbers other countries in smart city pilots: report”, February, 20, 2018
[2] “China announces 9 pilot ‘smart cities’”, August,13, 2013
http://www.chinadaily.com.cn/a/201802/20/WS5a8be328a3106e7dcc13d1f6.html
http://en.cifnews.com/yinchuan-smart-city-example-china/
https://www.videovisitglobal.com/finnish-smart-city-technologies-advance-in-yinchuan-china/
https://www.policyforum.net/chinas-big-brother-smart-cities/
http://www.chinadaily.com.cn/a/201802/20/WS5a8be328a3106e7dcc13d1f6.html
https://www.cnn.com/2016/10/10/asia/yinchuan-smart-city-future/index.html
https://www.nxnews.net/sz/nxdj/201706/t20170623_4295101.html
http://www.yinchuan.gov.cn/xwzx/mrdt/201903/t20190325_1336479.html