การดำเนินงานของเขื่อนจีนในแม่น้ำล้านช้าง ส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดของมณฑลยูนนาน และสถานการณ์น้ำในประเทศลุ่มน้ำโขงอย่างไร
27 Dec 2024มณฑลยูนนานเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุดของจีน จากข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2567 มณฑลยูนนานมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมกว่า 143,000 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ เป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานสะอาดรวมกว่า 120,000 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของมณฑลยูนนาน สูงเป็นอันดับหนึ่งของจีน แบ่งเป็น พลังน้ำ 82,700 เมกะวัตต์ (มากเป็นอันดับสองของจีน รองจากมณฑลเสฉวน) พลังงานแสงอาทิตย์ 25,320 เมกะวัตต์ และพลังงานลม 15,860 เมกะวัตต์
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดของมณฑลยูนนาน
มณฑลยูนนานเป็นผู้ส่งออกไฟฟ้ารายใหญ่ให้โครงการ “ไฟฟ้าจากภาคตะวันตก ส่งไปภาคตะวันออก” โดยนับตั้งแต่ช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีน ฉบับที่ 13 (2559-2563) จนถึงปัจจุบัน มณฑลยูนนานได้ส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดไปยังมณฑลกวางตุ้ง เขตฯ กว่างซี และมณฑลไห่หนานแล้วกว่า 1 ล้านล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง มากเป็นอันดับหนึ่งของจีน อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 มณฑลยูนนานมีปริมาณการอุปโภคไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.3 ของไฟฟ้าที่มณฑลยูนนานผลิตได้ นับเป็นปีแรกที่มณฑลยูนนานมีปริมาณการอุปโภคไฟฟ้าสูงกว่าปริมาณการขายไฟฟ้า เนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของความเป็นเมืองภายในมณฑลยูนนาน
เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนาน
แม่น้ำโขงช่วงที่ไหลผ่านประเทศจีนมีชื่อเรียกว่า “แม่น้ำหลานชางหรือล้านช้าง” โดยมีต้นกำเนิดจากที่ราบสูงชิงไห่ ไหลผ่านเขตทิเบตและมณฑลยูนนาน สิ้นสุดน่านน้ำของจีนที่เขตฯ สิบสองปันนา
การก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนาน เริ่มขึ้นเมื่อปี 2529 โดยกลุ่มบริษัทหัวเหนิง (China Huaneng Group) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานขนาดใหญ่ของจีน ได้ลงทุนก่อสร้างเขื่อนม่านวานในเมืองหลินชาง ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเขื่อนในช่วงตอนกลางถึงตอนล่างของแม่น้ำล้านช้าง โดยเริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเครื่องแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2536 และโครงการเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550
ต่อมา ในปี 2544 กลุ่มบริษัทหัวเหนิงได้ร่วมกับกลุ่มบริษัท Yunnan Energy Investment Group ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของมณฑลยูนนาน จัดตั้งบริษัท Huaneng Lancang River Hydropower เพื่อรับสัมปทานก่อสร้างและบริหารจัดการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำล้านช้างทั้งหมด
ตามแผนงาน มีโครงการก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนาน 15 โครงการ ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดตามระดับความสูงของแม่น้ำล้านช้าง โดยมีเป้าหมายการมีกำลังผลิตไฟฟ้า รวม 25,745 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น เขื่อนในช่วงตอนต้นของแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนาน 7 แห่ง รวมกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 9,230 เมกะวัตต์ และเขื่อนในช่วงตอนกลางถึงตอนล่างของแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนาน 8 แห่ง รวมกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 16,515 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ตาม เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำต้าเฉาซานในช่วงตอนกลางถึงตอนล่างของแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนาน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลินชางและเมืองผูเอ่อร์ ไม่นับเข้าอยู่ในฐานข้อมูลกำลังผลิตไฟฟ้าของบริษัท Huaneng Lancang River Hydropower เนื่องจากก่อสร้างและบริหารจัดการโดยบริษัท SDIC Yunnan Dachaoshan Hydropower ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างกลุ่มบริษัท State Development Investment Group (SDIC) และกลุ่มบริษัท Yunnan Hongta Group ขณะที่ กลุ่มบริษัท Huaneng Lancang River Hydropower ถือหุ้นเพียงร้อยละ 10
นับจนถึงปัจจุบัน มีโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนานที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้แล้ว 12 โครงการ อยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 โครงการ (เขื่อนกู๋สุ่ย) และอยู่ระหว่างขั้นตอนเตรียมการก่อสร้าง 2 โครงการ (เขื่อนก๋านหล่านป้าและเขื่อนเหมิ่งซง)
ในโอกาสที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง ได้เข้าร่วมกิจกรรมศึกษาดูงานล้านช้าง-แม่โขง ประจำปี 2567 (2024 Lancang-Mekong Trip : LMC Trip 2024) ณ เมืองผูเอ่อร์และเขตฯ สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเฉพาะการดำเนินงานของเขื่อนนั่วจาตู้และเขื่อนจิ่งหงซึ่งอยู่บนแม่น้ำล้านช้าง ตามคำเชิญของกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีน ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2567 จึงขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของเขื่อนนั่วจาตู้และเขื่อนจิ่งหง ดังนี้
เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำนั่วจาตู้ (Nuozhadu Hydropower Station) ตั้งอยู่บนแม่น้ำล้านช้างในอำเภอล้านช้าง เมืองผูเอ่อร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2547 สันเขื่อนสูงจากพื้น 261.5 เมตร ระดับน้ำปกติสูงจากระดับน้ำทะเล 812 เมตร มีปริมาณความจุน้ำ 23,703 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีศักยภาพในการควบคุมและปรับปริมาณน้ำได้ 11,335 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อช่วยป้องกันอุทกภัยและภัยแล้ง ซึ่งนับตั้งแต่เปิดใช้งานมา เขื่อนนั่วจาตู้ยังไม่เคยระบายน้ำล้นผ่านสปิลเวย์ (spillway) เลย
เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำนั่วจาตู้เริ่มผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องแรกเมื่อปี 2555 และผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังผลิตเมื่อปี 2557 มีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 5,850 เมกะวัตต์ (มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากำลังผลิต 650 เมกะวัตต์ จำนวน 9 เครื่อง) ผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ยปีละ 23,912 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดและมีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากที่สุดบนแม่น้ำล้านช้าง
เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจิ่งหง (Jinghong Hydropower Station) ตั้งอยู่บนแม่น้ำล้านช้างในเมืองจิ่งหง เขตฯ สิบสองปันนา เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนานที่เปิดใช้งานเป็นลำดับที่ 3 และปัจจุบันตั้งอยู่ล่างสุดจึงใกล้ประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงมากที่สุด เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2546 สันเขื่อนสูงจากพื้น 108 เมตร ระดับน้ำปกติสูงจากระดับน้ำทะเล 602 เมตร มีปริมาณความจุน้ำ 1,140 ล้านลูกบาศก์เมตร
เขื่อนจิ่งหงเริ่มผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องแรกเมื่อปี 2551 และผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังผลิตเมื่อปี 2552 มีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,750 เมกะวัตต์ (มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากำลังผลิต 350 เมกะวัตต์ จำนวน 5 เครื่อง) ผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ยปีละ 7,800 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง
เขื่อนจิ่งหงมีลิฟต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแรงดันน้ำสำหรับยกเรือขนาดระวาง 500 ตัน ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้างระหว่างช่วงเหนือเขื่อนและใต้เขื่อนจิ่งหง เริ่มใช้งานเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 นับจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 ได้ให้บริการยกเรือข้ามเขื่อนแล้ว 305 ครั้ง (ลำ)
นอกจากการผลิตไฟฟ้าและการขนส่งแล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 เขื่อนจิ่งหงยังได้พัฒนาเป็นแหล่งน้ำหลักเพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และแหล่งท่องเที่ยวภายในเมืองจิ่งหงด้วย โดยมีศักยภาพจัดส่งน้ำได้วันละ 150,000 ลูกบาศก์เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 39.6 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีการจัดส่งน้ำวันละประมาณ 80,000 ลูกบาศก์เมตร ในจำนวนนี้ เป็นการจัดส่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ในชีวิตประจำวัน 60,000 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75 ของปริมาณการใช้น้ำภายในเมืองจิ่งหง
ศักยภาพในการป้องกันอุทกภัยและภัยแล้งของเขื่อนจิ่งหง
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจาก “ปรากฏการณ์เอลนีโญ” สู่ “ปรากฏการณ์ลานีญา” ตั้งแต่กลางปี 2567 ทำให้มีปริมาณฝนมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอุทกภัย 3 ครั้ง ในลุ่มแม่น้ำโขง ช่วงอำเภอเชียงแสนและแขวงเวียงจันทน์ (1) ปลายเดือนกรกฎาคม-ต้นเดือนสิงหาคม 2567 (2) ปลายเดือนสิงหาคม 2567 และ (3) กลางเดือนกันยายน 2567 โดยข้อมูลของเขื่อนจิ่งหง ระบุว่า ในช่วงฤดูน้ำหลากของจีนประจำปี 2567 (มิถุนายน- ตุลาคม) เขื่อนจิ่งหงรับน้ำในช่วงที่มีปริมาณน้ำสูงสุดกว่า 6,800 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แต่ปล่อยน้ำเพียง 1,000-2,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ช่วยลดปริมาณน้ำได้สูงสุด 5,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที โดยเฉพาะช่วงกลางเดือนกันยายน 2567 ซึ่งมีพายุ “ยางิ” ถล่มภาคเหนือของไทยและ สปป.ลาว เขื่อนจิ่งหงได้ลดปริมาณการปล่อยน้ำเหลือเพียง 800 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ซึ่งเป็นระดับการปล่อยน้ำที่ต่ำสุดที่จำเป็นต่อการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-โขง เพื่อช่วยบรรเทาความรุนแรงของอุทกภัยในภาคเหนือของไทยและ สปป.ลาว
นอกจากนี้ สำนักข่าว CGTN ของจีนก็เคยจัดทำรายการโทรทัศน์นำเสนอประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนในแม่น้ำล้านช้างช่วงภายในมณฑลยูนนาน โดยเน้นประเด็นภัยแล้งในปี 2562 เพื่อชี้ให้เห็นว่าภัยแล้งดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ (เอลนีโญ) ที่ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-น้ำโขงเป็นวงกว้าง ทำให้ระดับน้ำลดลงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เขื่อนของจีนได้ปล่อยน้ำเพิ่มขึ้น มากกว่าปริมาณน้ำเข้าเขื่อน เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งหากในช่วงดังกล่าว จีนไม่ช่วยปล่อยน้ำ สถานการณ์ภัยแล้งอาจรุนแรงมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลสถิติของหน่วยงานราชการของไทย ที่พบว่า ภายหลังจีนก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำล้านช้าง ช่วงภายในมณฑลยูนนาน ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงในช่วงฤดูแล้งของไทยมีระดับน้ำที่สูงกว่าช่วงก่อนมีการสร้างเขื่อนในจีน แสดงให้เห็นว่า การสร้างเขื่อนในแม่น้ำล้านช้างของมณฑลยูนนาน ช่วยกักเก็บน้ำและทำให้ปริมาณน้ำทั้งในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งคงที่มากกว่าก่อนการสร้างเขื่อนเมื่อพิจารณาจากข้อมูลสถิติ
เทรนด์ใหม่มาแรง ยูนนานเน้นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานใหม่
แนวโน้มในปัจจุบันและอนาคต มณฑลยูนนานให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานใหม่มากขึ้น (พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม) โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานใหม่เพิ่มขึ้นจาก 1,530 เมกะวัตต์เมื่อสิ้นปี 2555 เป็น 34,680 เมกะวัตต์ในสิ้นปี 2566 เพิ่มขึ้น 22.6 เท่าตัว ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมกลายมาเป็นแหล่งไฟฟ้าอันดับสองและสามของมณฑลยูนนานตามลำดับ แซงหน้าพลังงานความร้อนจากถ่านหิน ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำก็ใกล้เต็มศักยภาพของแม่น้ำล้านช้างแล้ว และมีข้อจำกัดเมื่อเกิดภัยแล้ง
เห็นได้จากการที่ในปี 2566 มณฑลยูนนานผลิตไฟฟ้าได้ 415,072 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ในจำนวนนี้ เป็นไฟฟ้าพลังน้ำ 289,765 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง ลดลงร้อยละ 5.2 (จากผลกระทบของปัญหาภัยแล้ง) พลังงานความร้อนจากถ่านหิน 64,029 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.6 พลังงานลม 27,724 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.7 และพลังงานแสงอาทิตย์ 8,988 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 131.8
ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ผลิตไฟฟ้าได้ 350,148 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ในจำนวนนี้ เป็นไฟฟ้าพลังน้ำ 238,183 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 (ปริมาณฝนเพิ่มขึ้น) พลังงานความร้อนจากถ่านหิน 43,366 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง ลดลงร้อยละ 6.5 พลังงานลม 29,894 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.4 และพลังงานแสงอาทิตย์ 18,777 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 151.8
สะท้อนว่า พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมกำลังกลายเป็นแหล่งพลังงานสำคัญในการผลิตไฟฟ้าของมณฑลยูนนาน แม้ว่าปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมจะยังคงมีสัดส่วนน้อย แต่ก็มีอัตราการขยายตัวที่น่าจับตามองอย่างมาก
ที่มา: การเข้าร่วมกิจกรรม LMC Trip 2024